คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้ามรดกมีทายาทชั้นบุตรที่เกิดกับผู้ร้อง 4 คน เป็นผู้เยาว์3 คน ผู้ร้องเป็นมารดา และอยู่ในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจปกครองตามกฎหมาย ถือได้ว่าผู้ร้องมีความสัมพันธ์กับทายาทส่วนใหญ่ใกล้ชิดมากกว่าผู้คัดค้านซึ่งเป็นมารดาเจ้ามรดก ผู้ร้องน่าจะเป็นผู้รักษาประโยชน์ของทายาทส่วนใหญ่ได้ดีกว่าผู้คัดค้าน ทั้งผู้คัดค้านยืนยันตลอดมาว่าทรัพย์หลายรายการที่ผู้ร้องระบุในบัญชีทรัพย์ว่าเป็นทรัพย์มรดกนั้นเป็นของบุคคลอื่น เป็นการกล่าวอ้างในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของเจ้ามรดก ซึ่งถ้าถ้าผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมด้วยก็จะกระทำการในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตาย ตามที่แสดงไว้นั้นผู้ร้องจึงสมควรเป็นผู้จัดการมรดกแต่ฝ่ายเดียว แต่เพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่ฝ่ายผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทด้วย ศาลฎีกาจึงกำหนดเงื่อนไขในการตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกไว้ด้วยว่า ในกรณีที่ผู้ร้องจะจัดการมรดกไปในทางจำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันกับทรัพย์มรดกที่มีหลักฐานทางทะเบียนให้แก่บุคคลที่มิใช่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกโดยมิได้รับความเห็นชอบจากทายาททุกคน จะต้องขออนุญาตจากศาลเป็นกรณีไป

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นายเฉลิมชัย องค์วิศิษฐ์ สามีของผู้ร้องถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรม เป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดก ไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทุกแปลงให้แก่ทายาทและไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องที่ดินมรดกที่ถูกกรมสรรพากรยึดไว้เกี่ยวกับเรื่องภาษีที่ผู้ตายค้างชำระอยู่ จึงขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นมารดาของผู้ตายผู้ร้องประพฤติไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายขอให้ยกคำร้อง และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างก็เป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียของผู้ตาย โดยผู้ร้องเป็นภรรยาของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านเป็นมารดาของผู้ตาย ผู้ตายถูกคนร้ายยิงตายเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2532 ขณะถึงแก่กรรมผู้ตายมีทรัพย์มรดกหลายอย่างทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ผู้ตายมีทายาทที่มีสิทธิรับมรดกอีก 4 คน ซึ่งเป็นบุตรของผู้ร้องกับผู้ตาย คือ นางสาวเหมวดี องค์วิศิษฐ์ เด็กหญิงฉัตรวดีองค์วิศิษฐ์ เด็กชายอภิชัย องค์วิศิษฐ์ และเด็กชายอภิชาติองค์วิศิษฐ์ เนื่องจากมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก ผู้ร้องจึงได้มาร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า ผู้ร้องสมควรเป็นผู้จัดการมรดกเพียงคนเดียวหรือไม่…
พิเคราะห์แล้ว ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านนั้นต่างก็เป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกและไม่ขาดคุณสมบัติในการที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามที่กฎหมายกำหนดไว้ การที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านจะเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันได้หรือไม่นั้น การจัดการมรดกนั้นผู้จัดการมรดกมีหน้าที่สำคัญในการรวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งปันให้ทายาท อำนาจของผู้จัดการมรดกในกรณีที่มีสองคนนั้นการจัดการจะต้องดำเนินการร่วมกันทั้งสองคนเพราะกรณีไม่อาจจะหาเสียงข้างมากได้ ถ้าเกิดเป็นสองฝ่ายแล้ว คนหนึ่งคนใดก็ไม่อาจจัดการไปได้การจัดการมรดกตามคำสั่งศาลที่ให้จัดการร่วมกันนั้นก็จะไม่มีผลข้อขัดข้องในการจัดการแบ่งปันมรดกก็คงมีอยู่ต่อไป ไม่อาจแบ่งปันให้แก่ทายาทได้ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านตามที่ปรากฏ ทั้งในคำร้อง คำคัดค้านและการนำสืบของทั้งสองฝ่ายแล้วกรณีที่มีข้อโต้แย้งกันก็คือทรัพย์หลายรายการตามที่ปรากฏในคำร้องนั้นเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกหรือไม่ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีข้อโต้แย้งกันอย่างนี้แล้ว การที่จะให้จัดการร่วมกันในการรวบรวมทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกจึงมีข้อแสดงให้เห็นเป็นเบื้องต้นว่าจะไม่อาจที่จะจัดการร่วมกันได้ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่อาจจะร่วมกันจัดการได้เช่นนี้ กรณีก็ต้องพิจารณาว่าควรที่จะให้ผู้ร้องจัดการมรดกไปฝ่ายเดียวหรือไม่ ในข้อนี้เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทายาทตามที่ปรากฏในบัญชีเครือญาต ของเจ้ามรดกแล้ว จะเห็นได้ว่าเจ้ามรดกมีทายาทชั้นบุตรที่เกิดกับผู้ร้องถึง 4 คน และเป็นทายาทที่เป็นผู้เยาว์ถึง 3 คน ที่ผู้ร้องเป็นมารดาและอยู่ในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจปกครองตามกฎหมาย ถือได้ว่า ผู้ร้องมีความสัมพันธ์กับทายาทส่วนใหญ่ใกล้ชิดมากกว่าผู้คัดค้าน ดังนั้นผู้ร้องจึงน่าจะเป็นผู้รักษาประโยชน์ของทายาทส่วนใหญ่ได้ดีกว่าผู้คัดค้าน ทั้งการที่ผู้คัดค้านยืนยันข้อเท็จจริงตลอดมา ตั้งแต่ในคำร้องคัดค้านถึงในชั้นยื่นคำแก้ฎีกาว่า ทรัพย์หลายรายการที่ผู้ร้องระบุในบัญชีทรัพย์ว่าเป็นทรัพย์มรดกนั้น ผู้คัดค้านว่าเป็นของบุคคลอื่น อันเป็นการกล่าวอ้างในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของเจ้ามรดก ซึ่งถ้าผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมด้วยก็จะกระทำการในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้ร้องได้แสดงไว้ในชั้นต้น โดยเหตุผลสองประการนี้ จึงเป็นการที่เห็นได้ว่าน่าที่จะให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกไปฝ่ายเดียวแต่เพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่ฝ่ายผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทคนเดียวในกรณีที่ผู้ร้องจะจัดการมรดกไปในทางจำหน่ายจ่ายโอนหรือก่อภาระติดพันกับทรัพย์มรดกที่มีหลักฐานทางทะเบียนให้แก่บุคคลภายนอกโดยมิได้รับความเห็นชอบจากทายาททุกคนนั้น ต้องขออนุญาตจากศาลก่อนเป็นกรณีไป จึงสมควรวางเงื่อนไขดังกล่าวในคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายเฉลิมชัย องค์วิศิษฐ์ ผู้ตาย โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าถ้าจะจำหน่ายจ่ายโอน หรือก่อภาระติดพันกับทรัพย์มรดกที่มีหลักฐานทางทะเบียนให้แก่บุคคลที่มิใช่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกโดยมิได้รับความยินยอมจากทายาททุกคนแล้วจะต้องขออนุญาตศาลก่อนเป็นกรณีไป

Share