คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8800/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์ตกลงจ้างจำเลยที่ 2 ทำงานโดยมีระยะเวลาการทดลองงาน 120 วัน หากผ่านการทดลองงานโจทก์จะจ้างต่อไป ถ้าไม่ผ่านการทดลองงานโจทก์สามารถเลิกจ้างได้ หรืออาจให้จำเลยที่ 2 ทดลองงานต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไม่แน่นอนว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดเมื่อใด จึงเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 17 วรรคสอง ดังนี้ เมื่อครบกำหนดเวลาทดลองงาน 120 วัน แล้ว โจทก์ยังให้จำเลยที่ 2 ทำงานต่อไปอีก 20 วัน และต่อมาเลิกจ้างจำเลยที่ 2 ด้วยสาเหตุไม่ผ่านการทดลองงาน เท่ากับโจทก์ให้จำเลยที่ 2 ทดลองงานต่อไปอีก 20 วัน ตามสัญญานั่นเอง เมื่อโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 ในระหว่างทดลองงานอันเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ไม่ผ่านการทดลองงาน โจทก์จึงต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 2 ทราบเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใดเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป การที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 17 ตุลาคม 2545 บอกเลิกจ้างจำเลยที่ 2 โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 25 ตุลาคม 2545 จึงเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยที่ 2 และเมื่อจำเลยที่ 2 ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 ด้วยเหตุไม่ผ่านการทดลองงาน จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและการคุ้มครองแรงงานพื้นที่พญาไท จำเลยที่ 2 เคยเป็นลูกจ้างโจทก์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2545 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยที่ 1 ได้พิจารณาจากคำให้การทั้งสองฝ่ายแล้วฟังว่า โจทก์จ้างจำเลยที่ 2 ชาวรัสเซีย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2545 ตำแหน่งผู้จัดการดูแลด้านเทคนิค ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 30,000 บาท จ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน กำหนดระยะเวลาทดลองงาน 120 วัน โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 เนื่องจากไม่ผ่านการทดลองงาน โดยจำเลยที่ 2 ทำงานวันสุดท้ายถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2545 รวมระยะเวลา 135 วัน การเลิกจ้างดังกล่าวไม่ได้รับการยกเว้นในการจ่ายค่าชดเชย และฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ขัดคำสั่งซึ่งเคยเตือนด้วยวาจาแล้วตามที่โจทก์กล่าวอ้างโจทก์จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคมถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2545 จำนวน 31 วัน จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งที่ 9/2546 ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย 30,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 31,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 61,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่พญาไทที่ 9/2546
จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ได้มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 นั้นถูกต้องแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์จ้างจำเลยที่ 2 ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการดูแลด้านเทคนิค ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 30,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน จำเลยที่ 2 เริ่มทำงานกับโจทก์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2545 โดยทดลองงาน 120 วัน ครบกำหนดวันที่ 8 ตุลาคม 2545 แต่โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 ทำงานต่อไปอีก 20 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 28 ตุลาคม 2545 อันเป็นวันสุดท้ายที่กรมการจัดหางานได้อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ทำงานตามสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มิได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 17 ตุลาคม 2545 บอกเลิกจ้างจำเลยที่ 2 โดยกำหนดให้จำเลยที่ 2 อยู่กับบริษัทโจทก์จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2545 เป็นวันสุดท้าย ถือว่าโจทก์ได้กำหนดวันเลิกจ้างให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2545 ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2545 ถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2545 โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 เพราะไม่ผ่านการทดลองงาน ไม่เข้าข้อยกเว้นที่โจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่จำเลยที่ 2 ตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และไม่ถือเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยที่ 2 ทราบตามกฎหมาย ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยที่ 2 ชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ และโจทก์ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาจ้างข้อ 2 ที่กำหนดว่า “ทั้งสองฝ่ายตกลงกำหนดระยะเวลาในการทดลองงานไว้เป็นเวลา 120 วัน เมื่อครบกำหนดเวลาทดลองงานแล้ว นายจ้างมีสิทธิให้พนักงานทดลองงานต่อไปตามระยะเวลาที่นายจ้างกำหนด หรือมีสิทธิบรรจุลูกจ้างเป็นพนักงานโดยอยู่ในดุลพินิจของนายจ้างซึ่งพิจารณาจากผลงานของลูกจ้าง” หมายถึง นายจ้างตกลงจ้างลูกจ้างให้ทำงานโดยมีเวลาทดลองงาน 120 วัน หากผ่านการทดลองงานนายจ้างจะจ้างต่อไป ถ้าไม่ผ่านการทดลองงานนายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้ หรืออาจให้ลูกจ้างทดลองงานต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไม่แน่นอนว่าสัญญาจ้างจะสิ้นสุดเมื่อใด จึงเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสอง และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาทดลอง 120 วันแล้ว โจทก์ยังให้จำเลยที่ 2 ทำงานต่อไปอีก 20 วัน และต่อมาโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 ด้วยสาเหตุไม่ผ่านการทดลองงาน เท่ากับโจทก์ให้จำเลยที่ 2 ทดลองงานต่อไปอีก 20 วันตามสัญญาจ้างข้อ 2 นั่นเอง โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 ในระหว่างทดลองงานอันเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ไม่ผ่านการทดลองงาน โจทก์จึงต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 2 ทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใดเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป การที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 17 ตุลาคม 2545 บอกเลิกจ้างจำเลยที่ 2 โดยให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 25 ตุลาคม 2545 จึงเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 และเมื่อจำเลยที่ 2 ทำงานติดต่อกันครบ 120 วันแต่ไม่ครบ 1 ปี โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2 ด้วยเหตุไม่ผ่านการทดลองงาน จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 โจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share