คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

กรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ว่าโจทก์มีที่อยู่ที่แห่งหนึ่ง และได้นำสถานที่หรือทรัพย์สินที่โจทก์อยู่นั้นเองเอาประกันภัยไว้กับจำเลย ต่อมาโจทก์แจ้งที่อยู่ของโจทก์ใหม่ ซึ่งจำเลยก็ได้สลักหลังแก้ให้โจทก์แล้วการสลักหลังดังกล่าว จะฟังว่าเป็นการแก้เฉพาะที่อยู่ของโจทก์อย่างเดียวย่อมไม่ได้ เพราะสถานที่อยู่ของโจทก์ก็คือตัววัตถุที่โจทก์เอาประกันภัยไว้ แต่เดิมนั่นเองทั้งที่อยู่ของของโจทก์ผู้เอาประกันภัยจะมีการเปลี่ยนแปลง ภายหลังหรือไม่ ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญที่จะต้องระบุในกรมธรรม์ประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867
โจทก์ฟ้องจำเลยผู้รับประกันภัยให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยมีข้อต่อสู้อย่างไร จำเลยต้องให้การโดยชัดแจ้งและนำสืบให้ปรากฏ จึงจะเกิดประเด็นให้ศาลวินิจฉัย เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยมิได้ยกปัญหาว่าสัญญาซื้อขายโกดังทำกันเองไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานเป็นโมฆะ ขึ้นต่อสู้เพื่อให้พ้นความรับผิด จึงไม่มีประเด็นในข้อนี้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้จัดการและเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างชื่อว่าโกดัง “ยี่ห้อฮั้วเฮงหลี”ตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 303-305 ถนนแสงชูโต หมู่ที่ 2 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี โจทก์ได้นำทรัพย์สินดังกล่าวประกันวินาศภัยอันเกิดขึ้นเนื่องจากเพลิงไหม้ไว้ต่อจำเลย ตามกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยเลขที่ 212365 หมายเลข 2 ท้ายฟ้อง แต่ตามกรมธรรม์หมายเลข 2 ท้ายฟ้องหรือตามเอกสารหมาย จ.6 ระบุแจ้งชัดว่านามผู้เอาประกันภัยคือ นายสำรวยสิงห์โตทอง “ยี่ห้อฮั้วเฮงหลี” ที่อยู่เลขที่ 1071/3 หมู่ 2 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี จึงต้องฟังว่าสถานที่เอาประกันภัยคือ เลขที่ 1071/3หมู่ที่ 2 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี คำฟ้องและกรมธรรม์ประกันภัยจึงต่างกันเป็นสองอย่างไม่แน่นอน เป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า ตามกรมธรรม์หมายเลข 2 ท้ายฟ้อง หรือเอกสารหมาย จ.6 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งแต่แรกแล้วว่า โจทก์มีที่อยู่เลขที่ 1071/3 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และได้นำสถานที่หรือทรัพย์สินที่โจทก์อยู่นั้นเองเอาประกันภัยไว้กับจำเลย เมื่อต่อมาโจทก์ได้แจ้งที่อยู่ของโจทก์ใหม่ว่าเป็นเลขที่ 303-305 ถนนแสงชูโต หมู่ที่ 2 ตำบลท่าม่วง ซึ่งจำเลยก็ได้สลักหลังแก้ให้โจทก์แล้ว ดังที่ปรากฏในกรมธรรม์ท้ายฟ้อง หรือเอกสารหมาย จ.7 การสลักหลังแก้ดังกล่าวจะฟังว่าเป็นการแก้เฉพาะที่อยู่ของโจทก์อย่างเดียวย่อมไม่ได้ เพราะสถานที่อยู่ของโจทก์ก็คือตัววัตถุที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แต่เดิมนั่นเอง ทั้งที่อยู่ของโจทก์ผู้เอาประกันภัยจะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังหรือไม่ ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญที่จะต้องระบุในรายการกรมธรรม์ประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 ฟังได้ว่าจำเลยได้ตกลงแก้วัตถุที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ว่า เป็นโกดังเลขที่ 303-305แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่จำเลยกล่าวในฎีกาต่อไปอีกว่า จำเลยนำสืบให้เห็นแล้วว่า อาคารเลขที่ 303-305 เป็นที่ทำการของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาท่าม่วง อยู่คนละแห่งกับโกดังที่ถูกเพลิงไหม้ซึ่งไม่มีเลขที่ แต่โจทก์นำเอาเลขที่ 303-305 มาสวมแทนฟังไม่ได้ว่าโจทก์เอาประกันภัยโกดังที่ถูกเพลิงไหม้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดว่าโจทก์เอาประกันภัยโกดังซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวหลังคามุงสังกะสี ใช้เป็นที่เก็บมันเส้นและพืชผล ตั้งอยู่เลขที่ 303-305 ซึ่งถูกเพลิงไหม้ หาได้นำเอาอาคารสถานที่ทำการของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาท่าม่วง เลขที่ 303-305 ซึ่งมิได้ถูกเพลิงไหม้เอาประกันภัยกับจำเลยไม่ ทั้งหนังสือของนายอำเภอท่าม่วง เอกสารหมาย จ.13 ก็ว่าโกดังเก็บพืชผลฮั้วเฮงหลีตั้งอยู่เลขที่ 303-305 จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้นำโกดังที่ถูกเพลิงไหม้นั้นเองเอาประกันภัยไว้กับจำเลย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า โจทก์ว่าซื้อโกดังที่ถูกเพลิงไหม้จากนายนิยมไตรวิเชียร แต่พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน และโจทก์มิได้อ้างสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าที่ดินจากนายนิยม ทั้งสัญญาซื้อขายโกดังทำสัญญากันเอง ไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน เป็นโมฆะ โกดังที่ถูกเพลิงไหม้จึงยังคงเป็นของนายนิยม ไตรวิเชียร โจทก์ไม่ใช่เจ้าของโกดังที่ถูกเพลิงไหม้ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยผู้รับประกันภัยให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยมีข้อต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดอย่างไร จำเลยก็ต้องให้การโดยชัดแจ้ง และนำสืบให้ปรากฏจึงจะเกิดประเด็นให้ศาลวินิจฉัย เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยมิได้ยกปัญหาว่าสัญญาซื้อขายโกดังทำสัญญากันเอง ไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน เป็นโมฆะ ขึ้นต่อสู้เพื่อให้พ้นความรับผิด จึงไม่มีประเด็นในข้อนี้ เมื่อโจทก์มีพยานนำสืบให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้ซื้อโกดังจากนายนิยม ไตรวิเชียร ทั้งในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.6 จ.7 ก็ระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยโจทก์ก็ไม่จำต้องอ้างสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าที่ดินจากนายนิยมอีกฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในโกดังที่เอาประกันภัย”

พิพากษายืน

Share