คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายยินยอมให้ ด.ภริยาจำเลยกู้ยืมเงินโดยมีอ.เป็นผู้ค้ำประกัน เพราะมีเหตุจูงใจจากผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินถึง50,000 บาทและการที่คู่กรณีทำหนังสือสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานเพราะถ้า ด. ผิดนัด ผู้เสียหายก็สามารถบังคับตามสัญญากู้ได้ ไม่ใช่ผู้เสียหายให้กู้ยืมเนื่องจากเชื่อว่า ด. กับจำเลยจะนำเงินไปชำระหนี้ค่าปลูกบ้านและหนี้สหกรณ์ตามที่ ด. กับจำเลยกล่าวอ้างทั้งกรณีที่ผู้เสียหายยอมรับเช็คซึ่งมีจำนวนเงินเท่ากับในสัญญากู้จาก ด. ไว้แทนสัญญากู้แล้วคืนสัญญากู้ให้แก่ฝ่ายจำเลยไป ก็โดยที่ผู้เสียหาย เห็นว่าการออกเช็คให้ยึดถือไว้นั้นเป็นหลักประกันที่ดีกว่าสัญญากู้ เพราะนอกจากจะฟ้องบังคับตามจำนวนเงินในเช็คอันเป็นความผิดในทางแพ่งแล้ว ผู้เสียหายยังมีสิทธิที่จะฟ้องในทางอาญาซึ่งเป็นช่องทางที่จะบีบบังคับให้ลูกหนี้รีบขวนขวายในการชำระหนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย พฤติการณ์แห่งความผูกพันระหว่างผู้เสียหายกับ ด. และจำเลยจึงเป็นมูลหนี้ในทางแพ่งโดยเฉพาะหาใช่เป็นความรับผิดในทางอาญาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 จำคุก 2 ปี จำเลยฉ้อโกงสัญญากู้ยืมเงิน 2 ฉบับไปจากผู้เสียหายเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ยืม จึงหาใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ต้องสูญเสียไปเนื่องจากการฉ้อโกงของจำเลยไม่ให้ยกคำขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 200,000 บาท แต่ให้จำเลยคืนสัญญากู้ทั้งสองฉบับแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มูลเหตุที่ผู้เสียหายดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในคดีนี้เป็นเพราะผู้เสียหายเห็นว่าไม่อาจบังคับชำระหนี้เอาแก่นางดวงพร กล้าหาญ ภริยาจำเลยและตัวจำเลยได้ ซึ่งความผูกพันระหว่างคู่กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากสัญญากู้ยืมอันเป็นความรับผิดกันในทางแพ่งและต่อมาปรากฏว่านางอัฉรา เลิกสงบผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ได้หลบหนีไป ผู้เสียหายเกรงว่าหนี้อาจพลอยสูญไปด้วย จึงตกลงให้นางดวงพรออกเช็คสั่งจ่ายจำนวนเงิน200,000 บาท เท่ากับจำนวนหนี้ตามสัญญากู้สองฉบับให้ผู้เสียหายยึดถือไว้แทนและพร้อมกันนี้ผู้เสียหายก็ได้มอบสัญญากู้ทั้งสองฉบับดังกล่าวให้ ฝ่ายจำเลยรับคืนไป ผู้เสียหายอ้างเหตุแห่งการฉ้อโกงว่าจำเลยกับพวกกล่าวเท็จว่า มีความจำเป็นต้องการเงินไปชำระหนี้ค่าปลูกบ้านและชำระหนี้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ ส่วนการออกเช็คให้ผู้เสียหายแทนในช่วงหลังแล้วรับเอาสัญญากู้สองฉบับคืนไปดังกล่าว ก็เป็นการหลอกลวงเพราะปรากฏว่า ขณะออกเช็คบัญชีเงินฝากในธนาคารได้ปิดไปก่อนแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ผู้เสียหายยินยอมให้นางดวงพรกู้ยืมเงินไปน่าเชื่อว่าเป็นเพราะเหตุจูงใจจากผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งเป็นเงินถึง 50,000 บาท มากกว่าและการที่คู่กรณีได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งหากนางดวงพรเกิดผิดนัดขึ้นในอนาคต ผู้เสียหายก็สามารถบังคับได้ตามสัญญาอยู่แล้ว หาใช่ผู้เสียหายให้กู้ยืมเพราะเชื่อในเหตุผลว่านางดวงพรกับจำเลยจะนำเงินไปชำระหนี้ค่าปลูกบ้านและหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ดังที่ผู้เสียหายกล่าวอ้างไม่ ส่วนการที่ผู้เสียหายยอมรับเช็คจากนางดวงพรไว้แทนเอกสารสัญญากู้ทั้งสองฉบับแล้ว มอบให้ฝ่ายจำเลยรับคืนไปนั้น ก็โดยที่ผู้เสียหายเห็นแล้วว่าการออกเช็คให้ยึดถือไว้นั้นเป็นหลักประกันที่ดีกว่าสัญญากู้เพราะนอกจากจะฟ้องบังคับตามจำนวนเงินในเช็คอันเป็นความรับผิดในทางแพ่งตามธรรมดาแล้ว ผู้เสียหายยังมีสิทธิที่จะฟ้องในทางอาญาอันเป็นช่องทางที่จะบีบบังคับให้ลูกหนี้รีบขวนขวายในการชำระหนี้ได้อีกโสดหนึ่งด้วย ส่วนการที่จะได้รับชำระหนี้คืนมากน้อยเพียงใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พฤติการณ์แห่งความผูกพันระหว่างผู้เสียหายกับนางดวงพรและจำเลยนั้นเป็นมูลหนี้ในทางแพ่งโดยเฉพาะ หาใช่เป็นความรับผิดในทางอาญาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share