คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8797/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ประกอบกิจการค้าประเภทไนท์คลับ ตามบัญชีการค้าประเภท 7 โรงแรมและภัตตาคาร ชนิด (ก) โจทก์ได้ให้ ณ. เช่ากิจการของโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2533 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2535ผู้ที่ประกอบกิจการไนท์คลับและมีรายรับจากการทำกิจการไนท์คลับดังกล่าวต่อจากโจทก์คือ ณ. ดังนั้น แม้ทะเบียนการค้าระหว่างเดือนมิถุนายน 2533 ถึงเดือนธันวาคม 2533 จะยังมีชื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า โดยโจทก์มิได้แจ้งเลิกประกอบการค้าหรือโอนกิจการค้าตามมาตรา 82 ทวิ ซึ่งเป็นความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบกิจการไนท์คลับและไม่มีรายรับจากการประกอบการค้าดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 7โรงแรมและภัตตาคารชนิด (ก) ตามการประเมินของเจ้าพนักงาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า กลางปี 2532 โจทก์ประกอบกิจการค้าประเภทไนท์คลับ จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม มีดนตรีแต่ไม่มีลีลาศ ตามบัญชีการค้าประเภท 7 ชนิด (ก) ใช้ชื่อว่า คอททันผับ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวโจทก์เช่ามาจากนางสุพัตรา ศิริวัฒน์ กำหนด 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2532 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 โจทก์ดำเนินกิจการไปจนถึงเดือนสิงหาคม 2532 เจ้าพนักงานประเมินกำหนดรายรับขั้นต่ำสำหรับกิจการดังกล่าวในอัตราเงินได้เดือนละ 150,000 บาทโจทก์ประกอบกิจการขาดทุนจนถึงเดือนมิถุนายน 2533 โจทก์มีหนี้สินค้างชำระกับนายณรงค์ คงฤทธิ์ จึงหักกลบลบหนี้โดยมีข้อตกลงว่า นายณรงค์จะใช้สิทธิเข้าดำเนินกิจการทั้งหมดโดยใช้อุปกรณ์ภายในร้านคอททันผับ โดยเป็นผู้เช่ากับโจทก์อีกทอดหนึ่งในอัตราค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท ต่อมานายณรงค์เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น “เดอะบอสผับ” โจทก์ได้รับค่าเช่าเพียง 1 เดือนและมิได้รับอีกจนโจทก์เดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ จนถึงเดือนกันยายน 2537 โจทก์รับแจ้งว่าถูกยึดทรัพย์คือ ที่ดินที่น้องสาวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์เพื่อรอขายทอดตลาดเนื่องจากค้างชำระภาษีการค้ารวมเป็นเงิน 1,027,445 บาท โจทก์ประกอบการค้าเฉพาะเดือนตุลาคม 2532 ถึงเดือนพฤษภาคม 2533 เท่านั้นโจทก์จึงขอขยายกำหนดเวลาการยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าเดือนมิถุนายน 2533 ถึงเดือนธันวาคม 2534 จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติและโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินขอให้ยกเลิกการประเมินหรืองดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยยืนตามการประเมินของเจ้าพนักงาน โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวเพราะเดือนมิถุนายน 2533 ถึงเดือนธันวาคม 2534 โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการค้าจึงไม่มีเงินได้และรายรับตามมาตรา 78 และ 79 หมวด 4 ภาษีการค้าตามกฎหมายเดิม โจทก์ได้ชำระภาษีเฉพาะที่โจทก์ประกอบการค้าจริงตั้งแต่เดือนกันยายน 2532 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2533 แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 423,964 บาท จำเลยที่ 1มีหมายเรียกโจทก์ไปยังบ้านซึ่งโจทก์มิได้พักอาศัยอยู่ในช่วงปี 2523-2534 โจทก์มิได้เจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและแต่งตั้งทนายความมาถามค้าน

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่า ทะเบียนการค้าระหว่างปี 2532 ถึง 2534 มีชื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า โดยโจทก์มิได้แจ้งเลิกประกอบการค้าหรือโอนกิจการค้าต่อเจ้าพนักงานจำเลย เจ้าพนักงานย่อมมีอำนาจทำการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีการค้าได้ เพราะการยื่นคำขอจดทะเบียนการค้าต่อทางราชการเป็นการแสดงว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้านั้นตามกฎหมาย การที่โจทก์ให้เช่ากิจการต่อไม่เป็นเหตุแก้ตัวให้พ้นความรับผิด กรณีการลดเบี้ยปรับนั้นเจ้าพนักงานประเมินคงให้เรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนับว่าเป็นธรรมแก่โจทก์ ไม่มีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับลงอีกสำหรับเงินเพิ่มตามมาตรา 89 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ไม่มีบทกฎหมายให้งดหรือลด ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 และเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ในเดือนพฤษภาคม 2532โจทก์ประกอบกิจการค้าประเภทไนท์คลับ ตามบัญชีการค้าประเภท 7 ชนิด (ก) ใช้ชื่อว่า คอททันผับ ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร โจทก์เช่าอาคารที่ใช้ประกอบกิจการจากนางสุพัตรา ศิริวัฒน์ เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2532 ถึงเดือนพฤษภาคม 2535 ค่าเช่าเดือนละ 24,000 บาท โจทก์จดทะเบียนการค้าแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน 2532 โจทก์ขาดสภาพคล่องจึงปิดกิจการ ต่อมาโจทก์ได้ให้นายณรงค์ คงฤทธิ์ เช่าอาคารดังกล่าวพร้อมอุปกรณ์ภายในร้านตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2533ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2535 ปรากฏในเรื่องการให้นายณรงค์เช่ากิจการนี้ เมื่อโจทก์กลับจากต่างประเทศโจทก์เคยให้ถ้อยคำไว้ต่อเจ้าพนักงานของจำเลย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 ถึงการที่นายณรงค์เช่าอาคารและดำเนินกิจการต่อจากโจทก์ตามสัญญาเช่านายณรงค์ผู้เช่าก็เคยให้ถ้อยคำไว้ต่อนายอนุสรณ์ จารุดุล เจ้าพนักงานของจำเลยรับว่าทำกิจการค้าต่อจากโจทก์ตามสัญญาเช่าตั้งแต่วันที่ 15มิถุนายน 2533 จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2535 และได้ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนประกอบบันทึกการให้ถ้อยคำไว้ด้วย นางสุพัตราศิริวัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารที่ให้เช่าก็เบิกความว่านายณรงค์มาพบขอเช่าห้องที่โจทก์เช่าอยู่เพราะกิจการของโจทก์ขาดทุน นางสุพัตราเริ่มเก็บค่าเช่าจากนายณรงค์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2533 จำเลยไม่สืบหักล้างเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ให้นายณรงค์เช่ากิจการของโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน2533 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2535 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน2533 โจทก์จึงไม่ได้ประกอบกิจการไนท์คลับอีกต่อไป ผู้ที่ประกอบกิจการไนท์คลับและมีรายรับจากการทำกิจการไนท์คลับดังกล่าวต่อจากโจทก์คือ นายณรงค์ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าทะเบียนการค้าระหว่างเดือนมิถุนายน 2533 ถึงเดือนธันวาคม2533 จะยังมีชื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า โดยโจทก์มิได้แจ้งเลิกประกอบการค้าหรือโอนกิจการค้าต่อเจ้าพนักงานจำเลยที่ 1ตามมาตรา 82 ทวิ ซึ่งเป็นความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบกิจการไนท์คลับและไม่มีรายรับจากการประกอบการค้าดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 7โรงแรมและภัตตาคารชนิด (ก) ตามการประเมินของเจ้าพนักงาน

พิพากษายืน

Share