คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 252/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยสมัครใจตกลงเข้าทำสัญญาเพื่อรับทุนจากโจทก์ไปศึกษาต่อต่างประเทศเองโดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยผิดสัญญา จำเลยยอมให้เรียกตัวกลับหรือปลดออกจากราชการได้ และจำเลยยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์เป็นจำนวน 3 เท่าของเงินทุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไป แต่เมื่อเป็นกรณีเกี่ยวกับข้อตกลงสำหรับความเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับแล้ว เมื่อเห็นว่าสูงเกินส่วนศาลย่อมสามารถลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
จำนวนเงินค่าเสียหายที่ศาลกำหนดรวมทั้งเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีทั้งจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่เพียงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนักเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรือกองทัพเรือ ซึ่งเป็นส่วนราชการของโจทก์ จำเลยได้รับทุนจากโจทก์ให้ไปศึกษาที่โรงเรียนนายเรือประเทศสเปนมีกำหนดเวลาประมาณ 6 ปี นับแต่วันที่ 29 กันยายน 2536 โดยจำเลยทำสัญญาไว้ต่อโจทก์ว่า หากจำเลยต้องยุติการศึกษาไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม จำเลยจะกลับมารายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการกับโจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่สิ้นสุดการศึกษา และหากจำเลยผิดสัญญาจำเลยยอมให้เรียกตัวกลับหรือปลดออกจากราชการได้ และจำเลยยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์เป็นจำนวน 3 เท่า ของเงินทุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไป โจทก์จัดให้จำเลยเดินทางไปประเทศสเปนเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2536 และเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนนายเรือ ประเทศสเปน จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2539 หลังจากนั้นจำเลยขาดสอบและไม่ไปรายงานตัวเพื่อกลับเข้าศึกษาต่อโดยไม่มีเหตุอันควร โรงเรียนนายเรือ ประเทศสเปน จึงมีคำสั่งปลดจำเลยออกจากการเป็นนักเรียนนายเรือตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2539 ซึ่งต่อมาจำเลยถูกปลดออกจากการเป็นนักเรียนนายเรือของกองทัพเรือตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2539 เช่นเดียวกัน โจทก์จ่ายเงินทุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาแทนจำเลย คือค่าโดยสารเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายประจำตัว ค่าเครื่องแต่งตัว ค่าตำราเรียน และอุปกรณ์การศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าเล่าเรียนและค่าบำรุงการศึกษารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,360,650.61 บาท ซึ่งจำเลยต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาเป็นจำนวน 3 เท่า รวมเป็นเงิน 4,081,951.83 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2543 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระตามหนังสือทวงถาม คิดเป็นเงินดอกเบี้ย 25,162.71 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย 4,107,114.54 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,081,951.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,660,651.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,360,650.61 บาท นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2543 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 2,721,301.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,360,650.61 บาท นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2543 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์เพียงว่า สมควรกำหนดเบี้ยปรับจำเลยเต็มจำนวนตามสัญญา สำหรับผู้ที่ทางราชการส่งไปศึกษาและรับโอนเข้าศึกษาในต่างประเทศตามเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6 คือสามเท่าของเงินทุนค่าใช่จ่ายในการศึกษาที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยหรือไม่เพียงใด เห็นว่า แม้จำเลยสมัครใจตกลงเข้าทำสัญญากับโจทก์เอง แต่เมื่อเป็นกรณีเกี่ยวกับข้อตกลงสำหรับความเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับแล้ว เมื่อเห็นว่าสูงเกินส่วนศาลย่อมสามารถลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ดี จำเลยมีรายได้น้อยพยายามประกอบอาชีพสุจริต ศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ เมื่อถูกฟ้องจำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้คดี แต่แถลงยอมรับว่าเป็นผู้ผิดสัญญาทุกประการเพียงขอพิจารณาลดเบี้ยปรับให้จำเลย ทั้งมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์แก้ฎีกาแต่อย่างใด ทั้งไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการผิดสัญญาของจำเลยมีมากกว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาหลายเท่าดังที่โจทก์อ้างอย่างไร การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระเงินให้โจทก์อีก 1 เท่าของเงินทุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่โจทก์จ่ายแทนจำเลยไปรวมเป็นเงิน 2,721,301.22 บาท จึงเป็นจำนวนพอสมควรแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง จำนวนเงินค่าเสียหายที่กำหนดนั้นเป็นหนี้เงินซึ่งโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ทั้งจำนวน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยดังกล่าวในต้นเงิน 1,360,650.61 บาท เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,721,301.22 บาท นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2543 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share