แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2507 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้จะไม่ค้างให้เกิน 6 เดือน ส่วนเงิน 5,000 บาทที่จำเลยจะต้องชำระให้ในเดือนพฤศจิกายน 2506 โจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนระยะเวลาไปไม่เกิน 6 เดือน ดังนี้ มิใช่แปลงหนี้ใหม่
เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ได้ต่อไป ถ้าเป็นจริงย่อมมีผลผูกมัดโจทก์ ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ จำเลยย่อมนำพยานบุคคลเข้าสืบได้ (อ้างฎีกาที่ 782/2503)
จำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีไว้ชัดแจ้งแล้ว การจะปรับเข้าบทกฎหมายใด ย่อมตกเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาใช้เอง (อ้างฎีกาที่ 183/2486).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน กู้เงินโจทก์ไปหลายครั้งและผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ ต่อมาวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๐๖ จำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเงิน ๔๖,๗๕๐ บาท โดยจำเลยผ่อนชำระในวันทำสัญญาหนังสือรับสภาพหนี้ ๕,๐๐๐ บาทที่เหลือจำเลยขอผ่อนชำระในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๖ เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท และเดือนต่อ ๆ ไป เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท หากผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี บัดนี้ จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงิน ๕,๐๐๐ บาทภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๖ และไม่ชำระเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๗ เดือนแล้ว ขอให้ศาลบังคับให้ชำระเงินต้น ๔๑,๗๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓,๑๓๑.๒๕ บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๗ และค่าเสียหายในการทวงถาม ฯลฯ อีก ๓๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า มูลหนี้หาใช่มูลหนี้อันเกิดจากการกู้เงินไม่ หากแต่เกิดด้วยโจทก์ดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ ๑ ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินในชั้นศาล โจทก์ถอนคำร้องทุกข์โดยให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ เมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาทนับแต่เดือนมกราคม ๒๕๐๗ เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้จะไม่ค้างให้เกิน ๖ เดือน ส่วนเงิน ๕,๐๐๐ บาทที่จำเลยจะต้องชำระให้ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๖ โจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนระยะเวลาไปไม่เกิน ๖ เดือนนับแต่เดือนมกราคม ๒๕๐๗ เป็นต้นมา บัดนี้ยังไม่ครบกำหนด จำเลยไม่ผิดนัด
ในวันนัดพร้อม ทนายจำเลยแถลงว่าข้อตกลงใหม่มิได้ทำเป็นหนังสือ ศาลสั่งให้งดสืบพยาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน ๔๑,๗๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว แต่ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าเป็นจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าโจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ได้ต่อไปนั้นแล้ว ย่อมมีผลผูกมัดโจทก์ ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ นำพยานบุคคลเข้าสืบได้ หาใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารแต่ประการใดไม่ (อ้างฎีกาที่ ๗๘๒/๒๕๐๓) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการผ่อนผันระหว่างกันไม่มีผลผูกมัดโจทก์ให้จำต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ตามที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มุ่งไปในทางว่า ข้อตกลงนั้นเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลานั้น ศาลฎีกาจะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีไว้ชัดแจ้งแล้ว การจะปรับเข้าบทกฎหมายใด ย่อมตกเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาใช้เอง (อ้างฎีกาที่ ๑๘๓/๒๔๘๖) จึงรับวินิจฉัยให้ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานตามข้อต่อสู้ของจำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่.