คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานโจทก์เบิกความถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ของโจทก์จำเลยตามที่ตนเห็น ย่อมเป็นประจักษ์พยาน มิใช่พยานบอกเล่า
จำเลยมิได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จำเลยได้แสดงโดยเปิดเผยต่อลูกจ้างเพื่อนและลูกจ้างของโจทก์ ให้เห็นความสัมพันธ์ที่โจทก์จำเลยมีต่อกันฉันชู้สาว โจทก์ได้เล่าให้มารดาและเพื่อน ๆ ฟังถึงการได้เสียและความสัมพันธ์กับจำเลยทั้งก่อนและหลังตั้งครรภ์และคลอดบุตร อันแสดงว่าไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างลักลอบปกปิด กรณีต้องด้วยมาตรา 1529(4) ที่โจทก์จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ ไม่จำเป็นต้องมีพฤติการณ์ถึงขนาดอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจริง ๆ แต่มิได้จดทะเบียนเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยชอบพอรักใคร่กัน ประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๗ โจทก์กับจำเลยได้เสียเป็นสามีภริยากัน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ตั้งครรภ์กับจำเลยแล้วแท้ง พ.ศ. ๒๔๙๙ โจทก์ตั้งครรภ์กับจำเลยอีก วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๐๐ โจทก์คลอดบุตรซึ่งมีกับจำเลยและได้แจ้งต่อเจ้าพนักงาน ณ สำนักงานทะเบียนว่าเป็นบุตรโจทก์ซึ่งเกิดจากจำเลย ตั้งชื่อว่า “เด็กชายวันเดช” โจทก์เลี้ยงดูเด็กชายวันเดชมาฝ่ายเดียว ขอให้ศาลแสดงว่าเด็กชายวันเดชเป็นบุตรของจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๑,๐๐๐ บาทจนกว่าเด็กชายวันเดชจะมีอายุครบ ๒๓ ปี บริบูรณ์
จำเลยให้การว่าไม่เคยอยู่กินกับโจทก์ในระยะเวลาที่โจทก์อ้าง การจดทะเบียนสูติบัตร โจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้ทำจำเลยไม่เคยรู้เห็นและไม่เคยให้ความยินยอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เด็กชายวันเดชเป็นบุตรจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายวันเดชตั้งแต่วันฟ้องไปจนถึงเด็กชายวันเดชอายุ ๑๕ ปี เดือนละ ๕๐๐ บาท ต่อจากนั้นไปจนถึงอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์เดือนละ ๗๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้อยู่ภายในบังคับที่ศาลจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงเสียได้เมื่อพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนเห็นว่า พยานโจทก์ได้เบิกความถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ของโจทก์จำเลยตามที่ตนเห็น ย่อมเป็นประจักษ์พยาน หาได้เป็นพยานบอกเล่าไม่ และเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าเด็กชายวันเดชเป็นบุตรของจำเลย
ตามที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่จำเลยคัดค้านว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๙(๔) นั้น เห็นว่า ได้ความว่าโจทก์จำเลยได้แสดงโดยเปิดเผยต่อลูกจ้าง เพื่อนและลูกค้าของโจทก์ ให้เห็นความสัมพันธ์ที่โจทก์จำเลยมีต่อกันฉันชู้สาว ทั้งโจทก์ได้เล่าให้มารดาและเพื่อน ๆ ฟังถึงการได้เสียและความสัมพันธ์กับจำเลยทั้งก่อนและหลังตั้งครรภ์และคลอดบุตรอันแสดงว่าไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างลักลอบปกปิด กรณีต้องด้วยมาตรา ๑๕๒๙(๔) ที่โจทก์จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ ไม่จำเป็นต้องมีพฤติการณ์ถึงขนาดอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจริง ๆ แต่มิได้จดทะเบียนเท่านั้น ข้อที่มารดาโจทก์ไม่เคยรู้จักจำเลย จำเลยไปมาหาโจทก์ทางหลังร้าน ไม่เคยค้างคืนกับโจทก์ และโจทก์ปิดบังบุตรไม่ให้จำเลยทราบถึง ๗ ปีนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับมารดาโจทก์ น่าจะเป็นเพราะฐานะของโจทก์จำเลยแตกต่างกัน และได้เสียกันเองโดยจำเลยมีภริยาอยู่แล้ว มารดาโจทก์ก็มีอายุมาก ทั้งอยู่ในวังกรมพระยานริศ ฯ ส่วนโจทก์แยกไปประกอบอาชีพโดยลำพัง และเป็นผู้ใหญ่ รับผิดชอบในตัวเองแล้ว เหตุอื่น ๆ ที่จำเลยอ้างก็เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการที่จำเลยต้องการปกปิดภริยาจำเลยท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยมิได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผย
พิพากษายืน.

Share