แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ม. ถึง 250 หุ้น หุ้นละ 1,000 บาท จึงมีเงินพอเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ได้ มิได้ยากจนจริงจึงยกคำร้อง จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ใหม่ โดยจะนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยมิใช่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ม. อีกต่อไป กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องในกรณีนี้ ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้เป็นที่สุด ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นชอบตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย จำเลยย่อมใช้สิทธิฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ และการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งในกรณีนี้ไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา ต้องคืนเงิน 200 บาท แก่จำเลย
เมื่อหนังสือรับรองของบริษัทและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ม. ซึ่งไม่มีชื่อจำเลยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นที่จำเลยนำมาเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้นนายทะเบียนออกให้ก่อนวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลย กรณีจึงเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยสามารถนำเข้าสืบได้ในชั้นไต่สวนคำร้องอยู่แล้ว แต่จำเลยไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาศาล ส่อเจตนาหน่วงเหนี่ยวคดีให้ล่าช้า อันมีลักษณะประวิงคดี พฤติการณ์จึงไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาแสดงเพิ่มเติมอีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,233,386.77 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 959,067.27 บาท นับถัดจากวันฟ้อง(วันที่ 8 ธันวาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทมวกเหล็กสยาม จำกัดจำนวน 250 หุ้น หุ้นละ 1,000 บาท จำเลยยังพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์จำเลยไม่ได้ยากจนจริง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและสั่งให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2544จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 29 มิถุนายน 2544 ขอใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ แล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามวรรคห้าอีกไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ อ้างว่าจำเลยใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป ศาลชั้นต้นจึงรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้วฟังว่า จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทมวกเหล็กสยาม จำกัดจำนวน 250 หุ้น หุ้นละ 1,000 บาท จึงยังพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ได้จำเลยไม่ได้ยากจนจริงและให้ยกคำร้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว กลับยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ศาลอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจน แต่ตามคำร้องที่ขอให้ศาลไต่สวนพยานหลักฐานใหม่ไม่ปรากฏว่าเหตุที่จำเลยอ้างตามคำร้องเป็นเหตุอื่นนอกเหนือไปจากที่เคยอ้างไว้เดิมซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไปแล้ว ตามพฤติการณ์ย่อมเป็นที่เห็นได้อยู่ในตัวว่า จำเลยไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมไปจากที่ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขอใหม่ของจำเลยจึงชอบแล้วให้ยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลให้จำเลยทั้งหมด
จำเลยยื่นคำร้องฎีกาคำสั่งที่ไม่รับฎีกา อ้างว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่เป็นที่สุด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่ศาลฎีกามีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 29มิถุนายน 2544 ต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ใหม่ โดยจำเลยจะนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่า จำเลยมิใช่ผู้ถือหุ้นบริษัทมวกเหล็กสยาม จำกัด จำนวน 250 หุ้น อีกต่อไป กรณีดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องในกรณีเช่นนี้ ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดว่าให้เป็นที่สุด ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3เห็นชอบตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย จำเลยย่อมใช้สิทธิฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต่อศาลฎีกาได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป อนึ่ง การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งกรณีนี้ ไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จึงให้คืนเงินค่าขึ้นศาล 200 บาท แก่จำเลย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลย จำเลยอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอเสียทีเดียว โดยไม่พิจารณาคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่นั้นไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่าพยานหลักฐานที่จำเลยขอยื่นเพิ่มเติมนั้นจำเลยอ้างตัวจำเลยเอง หนังสือรับรองของบริษัทมวกเหล็กสยาม จำกัด และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทมวกเหล็กสยาม จำกัด รวม 3 อันดับ เป็นพยานและส่งเอกสารดังกล่าวซึ่งนายทะเบียนรับรองต่อศาลชั้นต้น เนื่องจากจำเลยไม่ได้อ้างเหตุอื่นนอกเหนือไปจากที่เคยอ้างไว้เดิม ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวว่ามีเหตุสมควรให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมหรือไม่ เห็นว่า หนังสือรับรองของบริษัทและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวซึ่งไม่มีชื่อจำเลยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น นายทะเบียนออกให้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ก่อนวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2544 พยานหลักฐานที่จำเลยจะนำมาแสดงเพิ่มเติมจึงเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยสามารถนำเข้าสืบได้ในชั้นไต่สวนคำร้องอยู่แล้ว แต่จำเลยไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาศาล ส่อเจตนาหน่วงเหนี่ยวคดีให้ล่าช้า อันมีลักษณะประวิงคดี พฤติการณ์จึงไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาแสดงเพิ่มเติม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขอใหม่ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ถ้าจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ทราบคำพิพากษา อนึ่ง การฎีกาคำสั่งกรณีนี้ไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จึงให้คืนเงินค่าขึ้นศาล 200 บาท แก่จำเลย