แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส และตกเป็นของ ป.สามีกับโจทก์ร่วมกันในฐานะเจ้าของรวม ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ให้อำนาจเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแก่กรรมสิทธิครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก และ ป. ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ ป. โดยการครอบครองปกปักษ์ ขณะ ป.และโจทก์มีสถานะเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของ ป. จึงเป็นการกระทำแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย แม้ต่อมา ป. และโจทก์จะจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันภายหลังก็ไม่ทำให้สถานะของการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทของโจทก์เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ โจทก์ยังคงต้องผูกพันกับการกระทำของ ป. ในคดีดังกล่าวในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท และต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความเดียวกันกับ ป. ผู้ร้องในคดีก่อนการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ ป. ยื่นคำร้องในคดีก่อนจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน โดยคู่ความเดียวกันเมื่อคดีก่อนศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 12790 ตำบลประจวบคีรีขันธ์ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท ให้โจทก์รื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้โจทก์ส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลยในสภาพเรียบร้อยโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย กับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ส่วนฟ้องแย้งให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 843/2529 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ตามคำฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายปราณี นางล้วนยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และนายปราณีเป็นเจ้าของร่วมกัน ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส และตกเป็นของนายปราณีกับโจทก์ร่วมกันในฐานะเจ้าของรวม ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ให้อำนาจเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแก่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก และได้ความตามคำฟ้องของโจทก์ต่อไปว่า นายปราณีได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายปราณีโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ขณะนั้นนายปราณีและโจทก์ยังมีสถานะเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วยกัน การกระทำของนายปราณีดังกล่าวจึงเป็นการกระทำแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย แม้ต่อมานายปราณีและโจทก์จะจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีที่นายปราณียื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้สถานะของการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทของโจทก์เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ โจทก์ยังคงต้องผูกพันกับการกระทำของนายปราณีในคดีดังกล่าวในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท และต้องถือว่าโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับนายปราณีผู้ร้องในคดีก่อน ซึ่งมีผู้คัดค้านในคดีก่อนเป็นจำเลยในคดีนี้เช่นกัน และในคดีก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ในประเด็นว่านายปราณีได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะมิได้ระบุในคำฟ้องอ้างบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1382 มาด้วยก็ตาม ก็เห็นได้ว่าโจทก์อ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน โดยคู่ความเดียวกันในคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามมาตรา 148 แห่ง ป.วิ.พ. กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนไป คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.