แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยร่วมยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมพร้อมยื่นคำให้การมาก่อนที่จะครบกำหนดเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การได้ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วมได้ จึงต้องถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิของจำเลยที่มีอยู่ในขณะที่ตนร้องสอด ไม่อาจถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จำเลยมีอยู่ขณะที่ร้องสอดเข้ามาเมื่อปรากฎต่อมาว่าจำเลยมิได้ยื่นคำให้การ จึงไม่มีกรณีที่จะถือว่าข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยร่วมเป็นไปในทางที่ขัดสิทธิของจำเลยเดิม ดังนั้นการยื่นคำให้การของจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการใช้สิทธิที่ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 58 วรรคสอง ศาลต้องรับคำให้การของจำเลยร่วมไว้พิจารณา
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำนวน 1,050,000 บาท และให้จำเลยที่ 2ในฐานะผู้จำนองที่ดินเป็นประกันร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าว คดีอยู่ระหว่างศาลชั้นต้นออกหมายส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองเพื่อแก้คดี นางเอมอร บุญมี ยื่นคำร้องลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2530ขอเข้าเป็นจำเลยร่วม และได้ยื่นคำให้การเข้ามาด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันอนุญาตให้นางเอมอรเข้าเป็นจำเลยร่วมและในวันที่ 11 ธันวาคม 2530 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับให้การของจำเลยร่วม เพราะเหตุที่จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยร่วมฎีกาศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลยทั้งสองกรณีเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องการยื่นคำคู่ความตลอดจนคำสั่งหรือคำพิพากษาในเรื่องดังกล่าว จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่มิชอบจำเลยร่วมจะฎีกาต่อมามิได้ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของจำเลยร่วม ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาไปตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วเห็นว่าจำเลยร่วมมีฐานะเสมอด้วยจำเลยที่ 2 และมีสิทธิต่อสู้คดีได้เพียงเท่าที่จำเลยที่ 2มีอยู่เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยร่วมจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำให้การ จึงมีคำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยร่วม
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยร่วมได้ยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมพร้อมกับยื่นคำให้การมาก่อนที่จะครบกำหนดเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การได้ และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วมได้ โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลยทั้งสองก่อน แม้ต่อมาศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในส่วนนี้ของศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องที่จำเลยร่วมร้องสอดเข้ามาใหม่ เพราะในที่สุดศาลชั้นต้นก็อนุญาตให้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ การดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบนั้นเป็นความผิดพลาดของศาลชั้นต้น มิใช่ความผิดของผู้ร้องสอด จึงจะนำกระบวนพิจารณาที่ต้องดำเนินใหม่มาวินิจฉัยในทางที่จะทำให้เป็นที่เสื่อมสิทธิของคู่ความมิได้กรณียังต้องถือว่าผู้ร้องสอดได้ยื่นคำให้การเข้ามาในคดีก่อนครบกำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องยื่นคำให้การ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดที่ได้เป็นคู่ความตามอนุมาตรา 2 แห่งมาตราก่อน ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอด และห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นนั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิม” เมื่อขณะที่จำเลยร่วมร้องสอดและยื่นคำให้การมานั้น ยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การได้เช่นนี้ กรณีก็ต้องถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิตามสิทธิของจำเลยที่มีอยู่ในขณะที่ตนร้องสอด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จำเลยมีอยู่ขณะร้องสอดเข้ามา ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยร่วมจะเป็นการขัดแย้งกับสิทธิของจำเลยหรือไม่นั้น ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า จำเลยมิได้ยื่นคำให้การจึงไม่มีกรณีที่จะถือว่าข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยร่วมเป็นไปในทางที่ขัดสิทธิของจำเลยเดิมดังนั้นการยื่นคำให้การของจำเลยร่วมดังกล่าวจึงไม่เป็นการใช้สิทธิที่ขัดกับบทบัญญัติมาตรา 58 วรรคสอง ศาลต้องรับคำให้การของจำเลยร่วมไว้พิจารณา คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้รับคำให้การจำเลยร่วม ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป