คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้โดยแจ้งชัดว่าจำเลยมอบเงินจำนวน60,000 บาทให้โจทก์เพื่อการซื้อหวาย หรือเพื่อการลงทุนเข้าหุ้นส่วนทำไม้กันแน่ คงฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์ได้รับเงินจากจำเลยและจำเลยยังไม่ได้รับเงินคืน การที่จำเลยใช้สิทธิทางศาลฟ้องโจทก์ฐานฉ้อโกงจึงไม่เป็นฟ้องเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฟ้องเท็จดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยจ่ายเงินจำนวน 60,000 บาทให้แก่โจทก์ไปเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2529 เป็นการจ่ายไปเพื่อการซื้อหวายจากโจทก์หรือจ่ายไปเพื่อการลงทุนเข้าหุ้นทำไม้กับโจทก์นั้นยังเป็นข้อที่โต้เถียงกันอยู่ ต่างฝ่ายต่างมีเพียงพยานบุคคลสนับสนุนข้ออ้างของฝ่ายตนยากต่อการที่จะเชื่อถือข้อนำสืบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว ดังจะเห็นได้ว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2119/2530 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นก็ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ให้คำมั่นแก่จำเลยว่าโจทก์จะนำหวายมาขายให้แก่จำเลย จำเลยจึงยอมมอบเงินค่าซื้อหวายให้แก่โจทก์ล่วงหน้าไปก่อนจำนวน 60,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่นำหวายมามอบให้แก่จำเลยก็เป็นเรื่องผิดคำมั่นในทางแพ่ง ไม่ใช่การหลอกลวงที่จะเป็นความผิดในทางอาญาฐานฉ้อโกง ส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 3กลับฟังข้อเท็จจริงต่างไปว่าการมอบเงินของจำเลยให้แก่โจทก์อาจจะเป็นเรื่องที่จำเลยมอบให้เพื่อการลงทุนเข้าหุ้นส่วนทำไม้กับโจทก์ก็เป็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักฟังพยานหลักฐานต่างกัน สำหรับรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 …ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยจงใจปรุงแต่งเรื่องที่เกิดขึ้นในเรื่องเดียวกันให้ต่างกันเพียงเพื่อต้องการให้โจทก์ถูกสอบสวนดำเนินคดีดังที่โจทก์อ้าง จึงนำรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.5 และจ.6 มาเป็นพยานหลักฐานเพื่อที่จะฟังว่าความจริงจำเลยลงทุนเข้าหุ้นส่วนทำไม้กับโจทก์ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ให้คำมั่นจะนำหวายมาขายให้แก่จำเลยแต่จำเลยมีเจตนาให้โจทก์ถูกสอบสวนดำเนินคดีทางอาญาจึงปรุงแต่งข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ให้เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ต่างกันดังที่โจทก์อ้างหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้โดยแจ้งชัดว่าจำเลยมอบเงินจำนวน 60,000 บาทให้แก่โจทก์เพื่อการซื้อหวายหรือเพื่อการลงทุนเข้าหุ้นส่วนทำไม้กันแน่ ข้อเท็จจริงคงฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยไปจริง และจำเลยยังไม่ได้รับเงินจำนวนนั้นคืนจากโจทก์การที่จำเลยใช้สิทธิทางศาลฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกง ยังฟังไม่ได้ว่าฟ้องของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่2119/2530 ของศาลชั้นต้นเป็นฟ้องเท็จ”
พิพากษายืน

Share