แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 14 กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด การที่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์กำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์เป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 อันเป็นการต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) จึงเป็นโมฆะ
ตามสัญญากู้ยืมเงินระบุให้จำเลยผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ 4 ของทุกเดือน แต่เมื่อจำเลยผ่อนชำระหลังวันที่ 4 ของเดือน โจทก์ก็รับชำระหนี้โดยไม่มีการทักท้วง แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ถือเอาระยะเวลาที่กำหนดไว้เป็นสาระสำคัญโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้โดยกำหนดระยะเวลาให้ 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยรับหนังสือทวงถามวันที่ 27 ตุลาคม 2541 ครบ 7 วัน ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2541 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดวันผิดนัดในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2541 จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เป็นเงิน ๑,๔๐๙,๕๔๑.๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๗๘๗,๒๔๖.๐๑ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองตลอดจนทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๗๘๘,๖๙๘.๐๑ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๕๑๙๔ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เป็นต้นเงินจำนวน ๗๘๗,๒๔๖.๐๑ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินจำนวน ๑๙,๗๘๕ บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี ในสัญญากู้เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ขณะจำเลยทั้งสองทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย จ. ๑๖ โจทก์ประกาศอัตราดอกเบี้ยตามเอกสารหมาย จ. ๑๗ ซึ่งในเอกสารหมาย จ. ๑๗ แผ่นที่ ๔ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในการอำนวยสินเชื่อไว้ คือ ๑. สินเชื่อสำหรับลูกค้าทั่วไป
๑.๑ กรณีอยู่ภายในวงเงินและไม่ผิดเงื่อนไขในการผ่อนชำระอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี
๑.๒ กรณีเกินวงเงิน/ผิดเงื่อนไขในการผ่อนชำระอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไป กรณีของจำเลยทั้งสองอยู่ในหลักเกณฑ์ข้อ ๑.๑ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี แต่ในสัญญากู้ยืมเงินระบุดอกเบี้ยไว้อัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ในชั้นพิจารณาของศาลนายอภัยพงศ์ วรรณศิริ พนักงานฝ่ายสินเชื่อและเร่งรัดหนี้สินของโจทก์เบิกความยืนยันว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี แม้ว่าโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ในการคิดอัตราดอกเบี้ยมิได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ แต่การคิดอัตราดอกเบี้ยของโจทก์จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๑๔ ซึ่งกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ซึ่งโจทก์ได้ออกประกาศดอกเบี้ยและส่วนลดตามอัตราดอกเบี้ยแต่ละกรณีตามเอกสารดังกล่าว ดังนั้นการที่โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ดังกล่าวข้างต้น จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕ อันเป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) จึงเป็นโมฆะ
ปัญหาว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อใดนั้น เห็นว่า แม้ตามสัญญากู้ยืมเงินจะระบุให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระเป็นรายเดือนภายในวันที่ ๔ ของทุกเดือนก็ตาม แต่ตามเอกสารรายละเอียดการผ่อนชำระหนี้จะเห็นได้ว่าแม้จำเลยทั้งสองจะผ่อนชำระหลังวันที่ ๔ ของเดือน โจทก์ก็รับชำระหนี้โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการทักท้วงแต่ประการใด แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ถือเอาระยะเวลาที่กำหนดไว้เป็นสาระสำคัญ นอกจากนั้นโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ โดยกำหนดระยะเวลาให้ ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ โดยจำเลยทั้งสองรับหนังสือทวงถามวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๑ ครบ ๗ วัน ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๔ กำหนดวันผิดนัดในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.