แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ก่อนที่มีการประกาศใช้นโยบายนำเข้าทองคำโดยเสรีการนำทองคำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง ด้วยการทำสัญญากำหนดปริมาณการนำเข้าภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยจะไม่มีผู้อื่นนำทองคำเข้ามาแข่งขันดังนั้น เมื่อกระทรวงการคลังโจทก์ทำสัญญากำหนดให้จำเลยนำทองคำเข้ามาจำหน่ายจำนวน 4,500 กิโลกรัม ภายในวันที่ 15ตุลาคม 2534 ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าภายในวันดังกล่าว โจทก์จะไม่ประกาศใช้นโยบายนำทองคำเข้ามา โดยเสรีเพื่อให้จำเลยนำเข้าและจำหน่ายทองคำได้ในปริมาณที่กำหนด ฉะนั้นการที่โจทก์จะไม่ประกาศใช้นโยบายนำทองคำเข้ามาโดยเสรีก่อนวันที่ 15 ตุลาคม2534 จึงเป็นสาระสำคัญในการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเมื่อโจทก์ประกาศใช้นโยบายนำทองคำเข้ามาโดยเสรีในวันที่ 7 พฤษภาคม2534 ทำให้ผู้อื่นสามารถนำทองคำเข้ามาได้อย่างเสรีเป็นเหตุให้จำเลยนำทองคำเข้ามาขายได้น้อยกว่าปริมาณที่กำหนดจึงถือว่าจำเลยผิดสัญญาที่จะต้องชำระค่าปรับให้โจทก์หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยทำสัญญากับโจทก์ว่า นับแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534 ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2534จำเลยจะนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวน 4,500 กิโลกรัมและจะจำหน่ายทองคำแท่งดังกล่าวให้หมดภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นสุดสัญญาดังกล่าว หากจำเลยนำทองคำแท่งเข้ามาไม่ครบจำนวนที่ได้รับอนุญาตหรือจำหน่ายทองคำแท่งที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าไม่หมดภายในกำหนด จำเลยยินยอมชำระค่าปรับแก่โจทก์เท่ากับจำนวนภาษีการค้าของทองคำแท่งส่วนที่นำเข้ามาไม่ครบ หรือของจำนวนทองคำแท่งที่จำหน่ายไม่หมดแล้วแต่กรณีโดยมีธนาคารกรุงไทย จำกัด เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงิน5,000,000 บาท เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญา ปรากฏว่าจำเลยนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรเพียงจำนวน 3,200 กิโลกรัมยังคงเหลือทองคำแท่งที่จำเลยไม่สามารถนำเข้ามาได้ตามสัญญาอีกจำนวน 1,300 กิโลกรัม คิดคำนวณค่าปรับตามสัญญาเป็นเงิน13,572,000 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยและผู้ค้ำประกันชำระเงินค่าปรับแล้ว ธนาคารกรุงไทย จำกัด ชำระเงิน 5,000,000 บาท แก่โจทก์ส่วนจำเลยเพิกเฉย จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 8,572,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 8,843,447 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 8,572,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญานำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรจริง แต่ในระหว่างอายุสัญญา โจทก์เปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าทองคำโดยอนุญาตให้บุคคลทั่วไปนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยเสรีทำให้มีบุคคลอื่นนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรหลายรายก่อให้เกิดการแข่งขันกับจำเลย จำเลยไม่ผิดสัญญาต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 4,048,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2535จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า เมื่อวันที่ 12กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยทำสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยตกลงเป็นผู้รับอนุญาตนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวน 4,500กิโลกรัม นับแต่วันทำสัญญาถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2534 หากจำเลยนำเข้าไม่ครบจำนวนภายในเวลาที่กำหนด จำเลยยินยอมชำระค่าปรับแก่โจทก์เท่ากับจำนวนภาษีการค้าของทองคำแท่ง ส่วนที่นำเข้ามาไม่ครบจำนวนตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 (ล.1) เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วจำเลยนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรเพียงจำนวน 3,200 กิโลกรัม มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของนางสาวเจริญศรี สธนนิศกุล พยานโจทก์ว่าพยานเป็นข้าราชการตำแหน่งเศรษฐกร 7 ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการพิเศษเกี่ยวกับการเงินและการธนาคาร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ควบคุมนโยบายเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกทองคำก่อนเกิดเหตุคดีนี้ รัฐบาลมีนโยบายควบคุมการนำเข้าและส่งออกทองคำโดยการประมูลว่าผู้ใดให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐบาลมากที่สุดก็จะได้รับอนุญาตให้เป็นผู้นำเข้าทองคำ ต่อมามีปัญหาในเรื่องคุณภาพของทองคำและมีการนำทองคำเถื่อนเข้ามาในประเทศโจทก์จึงมีนโยบายที่จะผ่อนคลายโดยให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของสมาคมเพชรพลอยเงินทอง บริษัท เอ.จี.ดี. โกลด์ดิลเลอร์ จำกัดซึ่งเป็นตัวแทนของสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับและบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาคมผู้ค้าทองคำเป็นผู้นำเข้าโดยอยู่ในความควบคุมของโจทก์ ต่อมารัฐบาลมีนโยบายที่จะให้มีการนำเข้าทองคำโดยเสรี โดยจะเริ่มใช้นโยบายดังกล่าวในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งเป็นวันที่สัญญาการนำเข้าทองคำแท่งของจำเลยและบริษัท เอ.จี.ดี. โกลด์ดิลเลอร์ จำกัด กับบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัด สิ้นสุดลงปรากฏตามเอกสารหมาย ล.22 ข้อ 2.3.2แต่โจทก์ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน จึงได้ขยายระยะเวลาประกาศใช้นโยบายนำเข้าทองคำโดยเสรีออกไป โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะนำมาใช้หลังวันที่ 15 ตุลาคม 2534 และทำสัญญากับจำเลยและบริษัทเอ.จี.ดี. โกลด์ดิลเลอร์ จำกัด กับบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัด โดยให้บริษัททั้งสามดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าทองคำแท่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม2534 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 (ล.1) ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม2534 โจทก์ประกาศใช้นโยบายการนำเข้าทองคำโดยเสรี ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.25 จำเลยจึงมีหนังสือถึงโจทก์ขอขยายระยะเวลาการนำเข้าทองคำแท่งออกไปอีกและขอลดปริมาณการนำเข้าจาก4,500 กิโลกรัม เหลือเพียงจำนวน 3,200 กิโลกรัม ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 แต่โจทก์ไม่อนุญาตปรากฏตามเอกสารหมาย ล.10จำเลยขอให้โจทก์พิจารณาทบทวนการขยายระยะเวลานำเข้าทองคำแท่งปรากฏตามเอกสารหมาย ล.10 สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีบันทึกเสนอโจทก์ถึงแนวทางที่จะผ่อนคลายแก่จำเลยโดยมีความเห็นว่าการที่จำเลยนำเข้าไม่ครบนั้นอาจมีสาเหตุเนื่องมาจากทางการได้ปรับปรุงนโยบายการนำเข้าและส่งออกทองคำโดยเสรีปรากฏตามเอกสารหมาย จ.12 ข้อ 4.2 ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนที่มีการประกาศใช้นโยบายนำเข้าทองคำโดยเสรี จำเลยและบริษัท เอ.จี.ดี. โกลด์ดิลเลอร์จำกัด กับบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัด เท่านั้นที่สามารถนำทองคำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรได้ภายใต้การควบคุมของโจทก์ด้วยการกำหนดปริมาณการนำเข้าทองคำภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่มีผู้อื่นนำทองคำเข้ามาแข่งขัน และเมื่อโจทก์ไม่สามารถแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้มีการนำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเสรีได้ทันภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534จึงได้ต่อสัญญาให้จำเลยและบริษัท เอ.จี.ดี โกลด์ดิลเลอร์ จำกัดกับบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัด อีก การที่โจทก์ต่อสัญญาให้จำเลยและบริษัท เอ.จี.ดี. โกลด์ดิลเลอร์ จำกัด กับบริษัทโกลด์ยูเนี่ยน จำกัดนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรนี้ คู่สัญญาจะต้องกำหนดปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงสถานการณ์ในขณะที่ทำสัญญาว่าไม่มีผู้อื่นสามารถนำทองคำแท่งเข้ามาแข่งขัน ดังนั้นเมื่อโจทก์ทำสัญญากำหนดให้จำเลยนำทองคำแท่งเข้ามาจำหน่ายจำนวน 4,500 กิโลกรัม ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2534 แล้วย่อมเป็นที่เข้าใจว่าภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2534 โจทก์จะยังไม่ประกาศใช้นโยบายนำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเสรีเพื่อให้จำเลยนำเข้าและจำหน่ายทองคำแท่งได้ในปริมาณที่กำหนดความเข้าใจเช่นนี้แม้ไม่ได้ระบุในสัญญาแต่ก็ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงโดยปริยาย ฉะนั้นการที่โจทก์จะไม่ประกาศใช้นโยบายนำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเสรีก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2534 จึงเป็นสาระสำคัญในการทำสัญญาการนำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.4 (ล.1) เมื่อโจทก์ประกาศใช้นโยบายนำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 เป็นเหตุให้ผู้อื่นสามารถนำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรได้อย่างเสรีนับเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้จำเลยต้องนำทองคำแท่งเข้ามาขายได้น้อยกว่าปริมาณที่กำหนดดังนั้นจึงจะถือว่าจำเลยผิดสัญญาหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยผิดสัญญาและให้ปรับจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น แต่ที่จำเลยฎีกาขอให้คืนเงินตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงไทย จำกัด จำนวน 5,000,000 บาท ให้จำเลยด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงพิพากษาให้ไม่ได้”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง