คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8749/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์ นอกจาก อ. และ ก. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เขียนเกษียนสั่งแล้ว ยังปรากฏว่า ส. รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีได้ลงลายมือชื่อรับทราบพร้อมกับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ไว้ด้วย ซึ่งเป็นการแสดงว่าอธิบดีกรมบังคับคดีเห็นด้วยกับคำสั่งของ อ. และ ก. แล้ว คำสั่งของผู้คัดค้านที่สั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ซื้อทรัพย์ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน2540 จึงสมบูรณ์ คำสั่งของผู้คัดค้านที่มีคำสั่งว่าผู้ซื้อทรัพย์ผิดนัดให้ริบเงินมัดจำและประกาศขายทอดตลาดใหม่จึงชอบแล้ว
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2540 ขอความเป็นธรรมและขอให้ผู้คัดค้านทบทวนคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอให้ขยายระยะเวลาชำระเงินใหม่ซึ่งเท่ากับผู้ซื้อทรัพย์ขอให้ผู้คัดค้านมีคำสั่งขยายระยะเวลาชำระเงินออกไปอีกการขอขยายเวลาชำระเงินดังกล่าวเป็นการขอขยายระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้อำนาจที่จะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปจึงเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่ผู้คัดค้านสั่งให้รอฟังผลการรังวัดสอบเขตจากเจ้าพนักงานที่ดินก่อน ซึ่งมีผลเป็นการขยายระยะเวลาชำระเงินที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ออกไปไม่มีกฎหมายให้อำนาจผู้คัดค้านกระทำได้ คำสั่งของผู้คัดค้านจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2533 ผู้ซื้อทรัพย์ที่ดินของจำเลยตามบัญชีทรัพย์หมาย ก. จำนวน 41 โฉนดและหมาย ข. จำนวน 1 โฉนด จากการขายทอดตลาดในราคารวม 42,900,000 บาท และได้วางเงินมัดจำไว้ 2,145,000 บาท แต่มีผู้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดและศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2539 หลังจากนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (ผู้คัดค้าน) แจ้งให้ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินส่วนที่เหลือจำนวน 40,755,000 บาท ไปชำระผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอขยายเวลาวางเงินออกไปอีก 60 วัน แต่ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านและอนุญาตให้ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินมาชำระภายใน 60 วัน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งในวันที่ 8 เมษายน 2540 ว่า อนุญาตให้ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินที่เหลือจำนวน 40,755,000 บาท ไปชำระแก่ผู้คัดค้านที่กรมบังคับคดีภายใน 60 วัน หากผิดนัดให้ริบมัดจำจำนวน 2,145,000 บาท ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปก่อนเนื่องจากอยู่ในระหว่างดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินที่ซื้อไว้ ผู้คัดค้านมีคำสั่งว่าผู้ซื้อทรัพย์ผิดนัดให้ริบเงินมัดจำและประกาศขายทอดตลาดใหม่ วันที่ 10 มิถุนายน 2540 ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอให้ทบทวนคำสั่งขอขยายระยะเวลาการชำระเงินใหม่ ผู้คัดค้านมีคำสั่งว่า ให้รอฟังผลการรังวัดสอบเขตจากเจ้าพนักงานที่ดินก่อน

จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านดำเนินการยกเลิกเพิกถอนการขยายเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือของผู้ซื้อทรัพย์และริบเงินมัดจำกับดำเนินการขายทอดตลาดใหม่

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ซื้อทรัพย์จำเป็นต้องขอตรวจสอบแนวเขตที่ดินให้แน่ชัดก่อน มิฉะนั้น ผู้ซื้อทรัพย์อาจเสียหายได้ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้รังวัดสอบเขตตามที่ผู้ซื้อทรัพย์ขอแล้ว แต่การรังวัดยังไม่เสร็จ ผู้ซื้อทรัพย์จำต้องร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินส่วนที่เหลือออกไปอีกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งอย่างไรต้องเสนอความเห็นไปตามลำดับชั้นคำสั่งของรองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตามระเบียบและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำสั่งของผู้คัดค้านที่สั่งคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2540 เป็นคำสั่งที่สมบูรณ์ มีผลบังคับแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าในคำร้องดังกล่าว (เอกสารหมาย ร.1) ปรากฏว่า นางอุษณีย์ อยู่แย้ม เกษียนสั่งเป็นคนแรกว่า หากผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินภายในวันดังกล่าว ถือว่าผู้ซื้อทรัพย์ผิดนัดให้ริบเงินมัดจำจำนวน 2,145,000 บาท ประกาศขายทอดตลาดใหม่ต่อมานางกรองกาญจน์ สถิตมิลินทากาศ สั่งว่า ถือว่าผู้ซื้อทรัพย์ผิดให้ริบเงินมัดจำและประกาศขายทอดตลาดต่อไปและนางกรองกาญจน์ยังได้เขียนบันทึกต่อไปว่า ขอประทานเสนอ ท่านอธิบดีเพื่อโปรดทราบ นอกจากเกษียนสั่งของนางอุษณีย์และนางกรองกาญจน์ดังกล่าวแล้วในคำร้องดังกล่าวยังปรากฏอีกว่า นายสำเร็จ บุษยากรณ์ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดีได้ลงลายมือชื่อรับทราบ พร้อมกับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ไว้ด้วยซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า อธิบดีกรมบังคับคดีเห็นด้วยกับคำสั่งของนางอุษณีย์และนางกรองกาญจน์แล้ว คำสั่งของผู้คัดค้านที่สั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ซื้อทรัพย์ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2540 จึงสมบูรณ์และมีผลว่า หากผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่ขาดในวันดังกล่าว ต้องริบเงินมัดจำจำนวน 2,145,000 บาท ที่ผู้ซื้อทรัพย์วางไว้และประกาศขายทอดตลาดใหม่ อันเป็นการยืนยันให้ผู้ซื้อทรัพย์ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นซึ่งได้ขยายระยะเวลาวางเงินให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์คำสั่งของผู้คัดค้านส่วนนี้ชอบแล้ว แต่คดีนี้ผู้ซื้อทรัพย์กลับยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2540 ขอความเป็นธรรมและขอให้ผู้คัดค้านทบทวนคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอให้ขยายระยะเวลาชำระเงินใหม่ ซึ่งเท่ากับผู้ซื้อทรัพย์ขอให้ผู้คัดค้านมีคำสั่งขยายระยะเวลาชำระเงินออกไปอีก และผู้คัดค้านมีคำสั่งให้รอฟังผลการรังวัดสอบเขตจากเจ้าพนักงานที่ดินก่อนจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่าคำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การขอขยายเวลาชำระเงินดังกล่าวเป็นการขอขยายระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ อำนาจที่จะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปจึงเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่ผู้คัดค้านสั่งให้รอฟังผลการรังวัดสอบเขตจากเจ้าพนักงานที่ดินก่อน ซึ่งมีผลเป็นการขยายระยะเวลาชำระเงินที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ออกไป ไม่มีกฎหมายให้อำนาจผู้คัดค้านกระทำได้ จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ริบเงินมัดจำ และให้ผู้คัดค้านดำเนินการขายทอดตลาดใหม่กับเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้รอฟังการรังวัดสอบเขตจากเจ้าพนักงานที่ดินก่อน

Share