คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1795/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ลักทรัพย์ (ชั้นผิดสัญญาประกัน)
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 36 ++
++ มีหมายเหตุ : ทวี ประจวบลาภ
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++

ย่อยาว

เรื่อง ลักทรัพย์ (ชั้นผิดสัญญาประกัน)
นายประกันทั้งสี่ ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ลงวันที่ ๘ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๒๐ เดือน พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๑
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ, ๘๓ คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ ๖ ปี จำเลยทั้งสามได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาตลอดมา โดยศาลชั้นต้นตีราคาประกันคนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๙ อันเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ ๑และที่ ๓ ไม่ไปศาล ส่วนเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้นปิดหมายไม่ครบระยะเวลาตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันทั้งสี่รวมทั้งนายสมัย เค้าโคตรผู้ประกันร่วมตามสัญญา ผู้ประกันทั้งสี่ขอลดค่าปรับเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑และที่ ๓ รวม ๓ ครั้ง ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องและครั้งสุดท้ายผู้ประกันทั้งสี่ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ขอลดค่าปรับอีก ศาลชั้นต้นยืนคำสั่งเดิมโดยให้ยกคำร้อง
ผู้ประกันทั้งสี่อุทธรณ์ขอให้ลดค่าปรับเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑และที่ ๓
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาว่า ผู้ประกันทั้งสี่ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ลดค่าปรับภายในกำหนด ๑ เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ วรรคแรก จึงให้ยกอุทธรณ์ของผู้ประกันทั้งสี่
ผู้ประกันทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ประกันทั้งสี่รวมทั้งนายสมัย เค้าโคตร ได้ทำสัญญาประกันตัวจำเลยทั้งสาม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นถือว่าผู้ประกันทั้งหมดไม่ส่งตัวจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ตามนัดเป็นการผิดสัญญาประกัน ให้ปรับผู้ประกันทั้งหมดสำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ คนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาทเต็มตามสัญญาประกัน ส่วนจำเลยที่ ๒ ปรากฎว่าปิดหมายนัดให้ทราบยังไม่ครบระยะเวลาตามกฎหมาย จึงเลื่อนไปอ่านคำพิพากษาในวันอื่นและได้มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๐ ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฟัง ส่วนจำเลยที่ ๒ ออกหมายจับครบระยะเวลา๑ เดือนแล้ว จึงอ่านคำพิพากษาสำหรับจำเลยที่ ๒ ต่อมาวันที่ ๒๑สิงหาคม ๒๕๔๐ ผู้ประกันทั้งหมดได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอลดค่าปรับเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อ้างเหตุว่าผู้ประกันแต่ละคนมาประกันตัวจำเลยทั้งสามด้วยเหตุเป็นญาติกัน ไม่ได้มีอาชีพหารายได้ทางเป็นผู้ประกัน แต่มีอาชีพทำนา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ประกันทั้งสี่ยื่นคำร้องขอลดค่าปรับอีกรวม ๒ ครั้ง คือวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๐อ้างเหตุว่าเมื่อศาลมีคำสั่งปรับผู้ประกันทั้งสี่แล้ว ผู้ประกันทั้งสี่ได้พยายามติดตามจับกุมจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มิได้มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยทั้งสามและไม่อาจควบคุมตัวได้ตลอด เนื่องจากพักอาศัยอยู่คนละที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง และครั้งสุดท้ายวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ผู้ประกันทั้งสี่ยื่นคำร้องขอลดค่าปรับอ้างเหตุว่า วันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่รู้ว่าไปไหนและไม่ได้บอกกล่าวผู้ประกันทั้งสี่ไว้เมื่อศาลมีคำสั่งปรับแล้วผู้ประกันทั้งสี่ขอคัดหมายจับออกติดตามชี้ตัวให้เจ้าพนักงานตำรวจจับส่งศาล ที่ดินที่ผู้ประกันทั้งสี่นำมาประกันตัวผู้ประกันทั้งสี่ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและทำการเกษตรเลี้ยงชีพ หากจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ไม่ใช่ญาติกันก็จะไม่ช่วยประกันตัวให้ อีกทั้งไม่ใช่มีอาชีพรับจ้างประกันตัวจำเลยและมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓หรือมีเจตนาที่จะไม่นำตัวจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ส่งศาลแต่อย่างใดศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเช่นเดิม วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ผู้ประกันทั้งสี่จึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน๒๕๔๐ ดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ประกันทั้งสี่ว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ประกันทั้งสี่โดยอ้างว่า ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งเกินกำหนด ๑ เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙วรรคแรก บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งบังคับตามสัญญาประกันแล้ว ผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุดเท่านั้น แต่ไม่มีบทมาตราใดบัญญัติห้ามไว้ว่า เมื่อศาลสั่งปรับผู้ประกันแล้ว และผู้ประกันได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาลดค่าปรับแต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ประกัน ผู้ประกันนั้นจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาลดค่าปรับซ้ำอีกไม่ได้ การที่ผู้ประกันยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้พิจารณาลดค่าปรับให้แก่ผู้ประกันใหม่อีกนั้นก็ไม่มีเหตุส่อให้เห็นว่าเป็นการยื่นเกินความจำเป็น จึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือขยายอายุอุทธรณ์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ วินิจฉัยไว้ดังนั้น เมื่อผู้ประกันทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาลดค่าปรับ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเมื่อผู้ประกันทั้งสี่เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องก็ย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด ๑ เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ประกันทั้งสี่ครั้งสุดท้ายดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ วรรคแรกสำหรับคดีนี้เมื่อนับแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ประกันทั้งสี่ถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ที่ผู้ประกันทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น จึงยังไม่เกิน ๑ เดือนตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ประกันทั้งสี่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ประกันทั้งสี่ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ประกันทั้งสี่แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share