คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8748/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ว่าคดีหมายเลขแดงที่ 10521/2542 ของศาลอาญา ซึ่งผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2541 ว่าผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกอีก 1 คน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และคดีหมายเลขดำที่ ย.5547/2546 คดีหมายเลขแดงที่ ย.3553/2548 ของศาลอาญา ซึ่งผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ว่าสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและร่วมกันฟอกเงิน ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งมีทั้งโทษทางอาญาและมาตรการทางแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หากศาลเชื่อว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน โดยมาตรการทางแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินดังกล่าว มิใช่ความรับผิดทางแพ่งตามความหมายของคำว่า “การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง” ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงแต่ในการพิจารณาและพิพากษาคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คือให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่านั้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้คัดค้านหรือจำเลยในคดีอาญาจะได้กระทำความผิดดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างในฎีกาหรือศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญาหรือไม่ คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จึงมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามความหมายของ ป.วิ.อ. มาตรา 46
เมื่อปรากฏว่าคดีที่ ว. กับพวกถูกฟ้องข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอาญาธนบุรีมีคำพิพากษาลงโทษ ว. โดยให้ประหารชีวิต ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 8870/2546 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับ ว. แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ลงโทษ ว. โดยให้ประหารชีวิต ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20063/2555 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวว่า ว. กับพวกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 500,000 เม็ด น้ำหนัก 46,284.590 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธ์ได้ 10,685.239 กรัม และร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนลักษณะเป็นผงสีส้มจำนวน 1 ซอง น้ำหนัก 2.280 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 0.739 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ว. จึงเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (1) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์การปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งนำเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารในนามของผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 หรือการนำทองคำแท่งไปฝังไว้ในสนามหญ้าหน้าบ้าน อันเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลทั่วไป ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ โดยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน มาตั้งแต่ปี 2541 ถึง 2546 และผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ผู้กระทำความผิดมูลฐาน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อปี 2541 ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ขณะถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีในเรือนจำกลางคลองเปรม ผู้คัดค้านที่ 1 และ ว. ถูกคุมขังอยู่ด้วยกัน จึงมีความสนิทสนมและมีพฤติการณ์ค้าเมทแอมเฟตามีนร่วมกัน ต่อมา ว. พ้นโทษออกมาก่อน แต่ก็ยังมีการติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 14 เมษายน 2546 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้คัดค้านที่ 1 โดยกล่าวหาว่าสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฟอกเงิน พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินต่าง ๆ หลายรายการรวมทั้งทรัพย์สินตามคำร้องด้วย ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ดังนั้น ประเด็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ ย่อมเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในการจับกุมผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2546 ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิจารณาวินิจฉัยด้วยจึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำร้องแต่อย่างใด
เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ผู้กระทำความผิดมูลฐาน กรณีต้องบังคับตามมาตรา 51 ที่แก้ไขใหม่ แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กล่าวคือ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ที่ถูกยึดไว้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือได้รับโอนมาโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานนี้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 48 รายการ พร้อมดอกผลที่เกิดมีขึ้นตกเป็นของแผ่นดิน
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องและเพิกถอนการยึดและหรือการอายัดทรัพย์สินทั้งหมด
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านขอให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1
ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านขอให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินดังกล่าว
ผู้คัดค้านที่ 4 ยื่นคำคัดค้านขอให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 4
ผู้คัดค้านที่ 5 และที่ 6 ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 48 รายการ คือ เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเซ็นทรัลลาดพร้าว บัญชีเลขที่ 068 0 02xxxx ชื่อบัญชีนายผัดแก้ว จำนวนเงิน 344,590.49 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเทสโก้โลตัส สุขาภิบาล 1 บัญชีเลขที่ 045 2 00xxxx ชื่อบัญชีนายผัดแก้ว จำนวนเงิน 24,391.30 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเซ็นทรัลชิดลม บัญชีเลขที่ 089 2 000xxxx ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 1,668,480.84 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บัญชีเลขที่ 153 0 80xxxx ชื่อบัญชีนางสาวมัสดา จำนวนเงิน 28,108.85 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเทสโก้โลตัส รามอินทรา บัญชีเลขที่ 065 0 03xxxx ชื่อบัญชีนางสาวมัสดา จำนวนเงิน 18,040.75 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขารามอินทรา กม.8 บัญชีเลขที่ 720 2 41xxx x ชื่อบัญชีนางสาวมัสดา จำนวนเงิน 1,514,538.11 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขารามอินทรา กม.8 บัญชีเลขที่ 720 2 29xxxx ชื่อบัญชีนางสาวอรัญญา จำนวนเงิน 674,953.28 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขารามอินทรา กม.10 บัญชีเลขที่ 074 1 34xxx x ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 651,460.87 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลิงนกทา บัญชีเลขที่ 325 1 31xxx x ชื่อบัญชีนางคำเคลือบ จำนวนเงิน 262,251.54 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลิงนกทา บัญชีเลขที่ 325 1 1xxx x ชื่อบัญชีนางคำเคลือบ จำนวนเงิน 145,842.01 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลิงนกทา บัญชีเลขที่ 325 1 29xxx x ชื่อบัญชีนางสาวอรัญญา และหรือนางคำเคลือบ จำนวนเงิน 403,269.38 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) สาขารามอินทรา กม.6 บัญชีเลขที่ 061 3 011xxx x ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 1,503,263.70 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขารามอินทรา กม.8 บัญชีเลขที่ 276 1 25xxx x ชื่อบัญชีนางสาวมัสดา จำนวนเงิน 4,602.32 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ บัญชีเลขที่ 125 9 50xxx x ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 746,077.37 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก บัญชีเลขที่ 060 2 02xxx x ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 1,103,712.78 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรามอินทรา บัญชีเลขที่ 076 2 32xxx x ชื่อบัญชีนางคำเคลือบ จำนวนเงิน 1,109,992.51 บาท เงินฝากบัญชีธนาคารออมสิน สาขามีนบุรี บัญชีเลขที่ 01 0105 20 112xxx x ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 24,429.31 บาท สลากออมสินพิเศษธนาคารออมสิน สาขามีนบุรี จำนวน 4 ฉบับ รวม 23,000 หน่วย ทะเบียนเลขที่ 20112xxx-x ชื่อนางสาวทิพย์ประภา จำนวนเงิน 1,150,000 บาท รถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อนิสสัน รุ่นเซฟฟิโร เลขทะเบียน ภฮ 9409 กรุงเทพมหานคร เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ เลขทะเบียน วต 719 กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนของนางสาวทิพย์ประภา ผู้เช่าซื้อ จำนวนเงิน 429,235 บาท เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์กระบะสี่ประตูยี่ห้อฟอร์ด ทะเบียน วต 3451 กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนของนางสาวทิพย์ประภา ผู้เช่าซื้อ จำนวนเงิน 227,312 บาท เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้อฮีโน่ รุ่นเอฟบี 133 เลขทะเบียน 80-7729 ยโสธร จำนวนเงิน 325,000 บาท ทองคำแท่ง 28 แท่ง น้ำหนัก 11,111.4 กรัม สร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น เงินสดจากการขายทอดตลาดวัว 84 ตัว จำนวน 900,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 126570 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 119/6 ที่ดินโฉนดเลขที่ 196366, 196367 และ 12054 ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส. 3 ก.) เลขที่ 368 ห้องชุดเลขที่ 473/77 สร้อยคอทองคำลายเชือกควั่น (ตะกร้อ) พร้อมพระเลี่ยมทองประดับเพชร 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 151.8 กรัม สร้อยคอทองคำลายหวาย-ห่วง (จิตรลดา) พร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์ น้ำหนักประมาณ 75.5 กรัม แหวนทองคำประดับเพชร น้ำหนักประมาณ 12.5 กรัม นาฬิกาข้อมือทองคำฝังเพชรยี่ห้อโรเล็กซ์ สร้อยคอทองคำลายปล้องอ้อยสลับผ่าหวาย น้ำหนักประมาณ 45.5 กรัม สร้อยคอทองคำลายหางกระรอก น้ำหนักประมาณ 75.8 กรัม สร้อยคอทองคำลายปล้องสลับลวดลายน้ำหนักประมาณ 32 กรัม สร้อยคำทองคำห้อยรูปหัวใจใบโพธิ์น้ำหนักประมาณ 15 กรัม สร้อยคอทองคำลายบิดเอี้ยวรอบจี้หัวใจ น้ำหนักประมาณ 21.7 กรัม สร้อยข้อมือทองคำลายผ่าหวายห้อยหัวใจ น้ำหนักประมาณ 45.5 กรัม แหวนทองคำตัวเรือนประดับเพชร 5 แถว น้ำหนักประมาณ 12.5 กรัม ธนบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐชนิด 100 เหรียญ 31 ฉบับ รวม 3,100 เหรียญ แลกเป็นเงินไทย 128,712 บาท ธนบัตรสกุลยูโรชนิดต่าง ๆ จำนวน 190 เหรียญยูโร แลกเป็นเงินไทย 8,960 บาท ธนบัตรสกุลหยวนจีนชนิด 100 หยวน 100 ฉบับ และชนิดต่าง ๆ 974 หยวน รวม 10,974 หยวน แลกเป็นเงินไทย 47,719 บาท อาวุธปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน หมายเลขทะเบียนปืน กท.4502455 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 11 นัด โทรทัศน์สียี่ห้อโซนี่ ขนาด 34 นิ้ว 1 เครื่อง กล้องวิดีโอดิจิตอล ยี่ห้อโซนี่ 1 เครื่อง พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งหกอุทธรณ์ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 157,035 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนเงิน 240,000 บาท ในบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ บัญชีเลขที่ 125 9 50xxx x ชื่อบัญชีนางสาวทิพย์ประภา แก่ผู้คัดค้านที่ 2 และคืนเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเลิงนกทา บัญชีเลขที่ 325 1 29xxx x ชื่อบัญชีนางสาวอรัญญา และหรือนางคำเคลือบ แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 5 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งคัดค้านในชั้นนี้ฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 เป็นน้องสาวของผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 5 และที่ 6 เป็นมารดาและบิดาของผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 4 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2541 ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นคนจีนพูดภาษาไทยได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50,000 เม็ด เป็นของกลางและถูกแจ้งข้อหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามคดีหมายเลขแดงที่ 10521/2542 ของศาลอาญา ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษผู้คัดค้านที่ 1 ตามฟ้อง แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ขณะถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำเดียวกันกับนายวุฒิพงศ์หรือรัตนชัย หรือแดง ที่เรือนจำกลางคลองเปรมในแดน 6 และอยู่ร่วมห้องขังเดียวกัน นายวุฒิพงศ์พ้นโทษมาก่อนเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2543 ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2546 นายวุฒิพงศ์กับพวกถูกจับกุมพร้อมเมทแอมเฟตามีน จำนวน 500,000 เม็ด ดำเนินคดีข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอาญาธนบุรีมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิต หลังจากนั้นวันที่ 14 เมษายน 2546 ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกจับกุมดำเนินคดีอีกในข้อหาร่วมกับนายวุฒิพงศ์กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและฟอกเงิน ตามคดีหมายเลขดำที่ ย.5547/2546 ของศาลอาญา ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว วันที่ 2 ตุลาคม 2547 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายประเสริฐ และนางศรีรัตน์ น้องชายและน้องสะใภ้ของนายวุฒิพงศ์และแจ้งข้อหาว่าร่วมกันฟอกเงิน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ประการแรกว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าคดีหมายเลขแดงที่ 10521/2542 ของศาลอาญา ซึ่งผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2541 ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวกอีก 1 คน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และคดีหมายเลขดำที่ ย.5547/2546 คดีหมายเลขแดงที่ ย.3553/2548 ของศาลอาญา ซึ่งผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านที่ 1 ว่าสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและร่วมกันฟอกเงิน ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งมีทั้งโทษทางอาญาและมาตรการทางแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หากศาลเชื่อว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน โดยมาตรการทางแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินดังกล่าวมิใช่ความรับผิดทางแพ่งตามความหมายของคำว่า “การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง” ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพียงแต่ในการพิจารณาและพิพากษาคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คือให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่านั้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าผู้คัดค้านหรือจำเลยในคดีอาญาจะได้กระทำความผิดดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างในฎีกาหรือศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญาหรือไม่ คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จึงมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
เมื่อปรากฏว่าคดีที่นายวุฒิพงศ์กับพวกถูกฟ้องข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอาญาธนบุรีมีคำพิพากษาลงโทษนายวุฒิพงศ์ โดยให้ประหารชีวิต ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 8870/2546 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับนายวุฒิพงศ์ แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ลงโทษนายวุฒิพงศ์ โดยให้ประหารชีวิต ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20063/2555 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวว่า นายวุฒิพงศ์กับพวกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 500,000 เม็ด น้ำหนัก 46,284.590 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธ์ได้ 10,685.239 กรัม และร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนลักษณะเป็นผงสีส้มจำนวน 1 ซอง น้ำหนัก 2.280 กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 0.739 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต นายวุฒิพงศ์จึงเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์การปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งนำเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารในนามของผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 หรือการนำทองคำแท่งไปฝังไว้ในสนามหญ้าหน้าบ้าน อันเป็นการผิดปกติวิสัยของบุคคลทั่วไป ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ โดยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาตั้งแต่ปี 2541 ถึง 2546 และผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ผู้กระทำความผิดมูลฐาน
ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นหยิบยกข้อเท็จจริงในคดีที่ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกจับกุมดำเนินคดีเมื่อปี 2541 ตามคำพิพากษาศาลฎีกามาวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้คัดค้านที่ 1 จึงได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแสดงว่าผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีพฤติการณ์ใด ๆ เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ศาลอุทธรณ์กลับหยิบยกข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกจับกุมดำเนินคดีในปี 2546 มาวินิจฉัย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อปี 2541 ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ขณะถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีในเรือนจำกลางคลองเปรม ผู้คัดค้านที่ 1 และนายวุฒิพงศ์ถูกคุมขังอยู่ด้วยกัน จึงมีความสนิทสนมและมีพฤติการณ์ค้าเมทแอมเฟตามีนร่วมกัน ต่อมานายวุฒิพงศ์พ้นโทษออกมาก่อน แต่ก็ยังมีการติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 14 เมษายน 2546 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้คัดค้านที่ 1 โดยกล่าวหาว่าสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฟอกเงิน พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินต่าง ๆ หลายรายการรวมทั้งทรัพย์สินตามคำร้องด้วย ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ดังนั้น ประเด็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ ย่อมเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในการจับกุมผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2546 ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาพิจารณาวินิจฉัยด้วยจึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำร้องแต่อย่างใด คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ว่า ทรัพย์สิน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือได้รับโอนมาโดยไม่สุจริตหรือไม่ เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คัดค้านที่ 1 ผู้กระทำความผิดมูลฐาน กรณีต้องบังคับตามบทบัญญัติมาตรา 51 วรรคสาม ที่แก้ไขใหม่ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กล่าวคือ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ที่ถูกยึดไว้เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือได้รับโอนมาโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานนี้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share