แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้การบังคับคดีในคดีแพ่งทั้งสองที่ได้ดำเนินไปแล้วเป็นอันถูกเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 209 วรรคแรก เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาในคดีแพ่งดังกล่าวใหม่ แต่จำเลยได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องของโจทก์ให้แก่ ม. และ ป. ไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในสำนวนที่ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่นั้นต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย คดีถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะบังคับให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 47,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และไปจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงคืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย พร้อมทั้งส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสียให้ถูกต้อง คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลโดยคู่ความขาดนัดและวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้วให้ถือว่า เป็นอันเพิกถอนไปในตัวก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ก็ยังบัญญัติไว้ด้วยว่าแต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้ให้ศาลมีอำนาจสั่งอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควร เมื่อจำเลยจดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องให้แก่นายมียศและนายประดับไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 และศาลมิได้มีคำสั่งเพิ่มเติมว่าจะให้การบังคับคดีเป็นประการใด จึงต้องถือว่าการขายที่ดินซึ่งเป็นการขายไปโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนวันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษา คงมีผลต่อไป เพราะเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้ จำเลยจึงไม่ต้องโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวตามอุทธรณ์ของโจทก์ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2540 ซึ่งสรุปใจความสำคัญตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในอุทธรณ์ได้ว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสียให้ถูกต้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 222/2533 และ 223/2533 ของศาลชั้นต้นที่มีการบังคับคดี เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวใหม่ และศาลชั้นต้นได้พิจารณาคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวใหม่แล้ว ทั้งได้มีคำสั่งในคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลโดยคู่ความขาดนัด และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้วนั้น ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ดังนี้ โจทก์เห็นว่าเมื่อการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้วเป็นอันถูกเพิกถอนไปดังกล่าวแล้ว จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวต้องดำเนินบังคับคดีใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งไม่เป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมหรือที่จะบังคับคดีใหม่ จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วพิพากษาให้จำเลยดำเนินบังคับคดีในคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวข้างต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อตรวจพิจารณาเนื้อหาสาระในอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว กรณีพอถือได้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้ชัดแจ้งว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบในข้อไหนอย่างไรแล้ว ส่วนคำขอตามอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวนั้น เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่จะวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่าจะพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เพียงใด ซึ่งเป็นเรื่องในชั้นพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีกชั้นหนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นที่ว่า จำเลยต้องโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาและโดยที่ในฎีกาของโจทก์ โจทก์ได้ฎีกาขึ้นมาด้วยว่าขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยต้องโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์หรือไม่ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยใหม่ และเห็นว่า ในเรื่องนี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2540 ว่า จำเลยได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องของโจทก์ให้แก่นายมียศและนายประดับไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 ปัจจุบันบุคคลทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวอยู่ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการบังคับคดีในคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวมาข้างต้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2538 ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การบังคับคดีในคดีแพ่งทั้งสองที่ได้ดำเนินไปแล้ว เป็นอันถูกเพิกถอนไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 วรรคแรก แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ ซึ่งฟังได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินตามฟ้องเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2534 และข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวมาซึ่งฟังได้ว่าจำเลยได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องของโจทก์ให้แก่นายมียศและนายประดับไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 ก่อนวันที่ 18 ตุลาคม 2538 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการบังคับคดี ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวใหม่ ดังนี้ กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดที่ดินตามฟ้องไปเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2534 และจำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อได้ก็ได้จดทะเบียนขายที่ดินตามฟ้องให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำพิพากษาในคดีแพ่งทั้งสองดังกล่าวเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้แล้ว และในสำนวนที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่นั้น ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย คดีถึงที่สุด จึงไม่จำเป็นที่จะบังคับให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำลยจึงไม่ต้องโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 วรรคแรก ตอนท้าย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้อีกหรือไม่อีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องโอนที่ดินตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์และพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.