แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง เนื่องจากจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ประกอบ มาตรา 247 อันมีผลทำให้คำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ถึงที่สุดนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2546 ซึ่งเป็นวันที่ได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยที่ 3 ฟัง และถือว่าคดีถึงที่สุดแล้วในวันดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจมายื่นคำแถลงขอวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นการเริ่มดำเนินการเพื่อให้กลับไปสู่การวินิจฉัยในเรื่องการรับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้วได้อีก โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือสำคัญเพื่อแสดงว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้วได้.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่งในทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่งในทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ ยกเว้นเฉพาะที่ดินในลำดับที่ 18 ตามบัญชีทรัพย์ดังกล่าว หากจำเลยทั้งห้าไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 3 ใช้แทนโจทก์ 25,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 วางเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง แต่จำเลยที่ 3 ไม่นำเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลให้ครบถ้วนภายในกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาจำเลยที่ 3 แถลงขอวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำแถลง จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งในวันเดียวกันนั้นโจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหนังสือเพื่อแสดงว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหนังสือเพื่อแสดงว่าคดีถึงที่สุดแก่โจทก์ในวันเดียวกันนั้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2546 ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2546 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้ออกหนังสือเพื่อแสดงว่าคดีถึงที่สุดแก่โจทก์เสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า คดียังไม่ถึงที่สุด ให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้ออกหนังสือสำคัญที่แสดงว่าคดีถึงที่สุดแก่โจทก์ตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2546 เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ดคีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ขณะโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหนังสือเพื่อแสดงว่าคดีถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2546 นั้น คดีถึงที่สุดหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องเนื่องจากจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 อันมีผลทำให้คำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ถึงที่สุดนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2546 ซึ่งเป็นวันที่ได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยที่ 3 ฟัง และถือว่าคดีถึงที่สุดแล้วในวันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจมายื่นคำแถลงขอวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นการเริ่มดำเนินการเพื่อให้กลับไปสู่การวินิจฉัยเรื่องให้รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้วได้อีก โจทก์จึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือสำคัญเพื่อแสดงว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้วได้ในวันที่ 22 ธันวาคม 2546 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งให้ออกหนังสือสำคัญที่แสดงว่าคดีถึงที่สุดแก่โจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เห็นควรสั่งให้ถูกต้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.