แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ให้จำคุก 5 ปี และเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 93 กึ่งหนึ่ง รวมเป็นโทษจำคุก 7 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่เพิ่มโทษตามมาตรา 93 คงจำคุกเพียง 5 ปี เช่นนี้ ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ทั้งบทและโทษ เป็นการแก้ไขมาก จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 บัญญัติขึ้นเพื่อให้จำเลยมีทนายต่อสู้ในคดีอุกฉกรรจ์ที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ไม่ได้หมายความรวมถึงโทษที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย ฉะนั้น แม้จำเลยจะให้การรับในข้อเคยต้องโทษก่อนตั้งทนาย คำรับก็ไม่เสียไป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๑ คนสมคบกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ๑ คันของนายนี ตะสุวรรณ ไป ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาจำคุกฐานปล้นทรัพย์มีกำหนด ๖ ปี ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๙, ๘๓, ๙๓
วันชี้สองสถาน จำเลยให้การว่า ขอสู้คดี จะให้การวันนัด หาทนายความแล้ว ไม่ต้องการให้ศาลตั้งให้ ก่อนคดีนี้จำเลยอายุเกิน ๑๗ ปีแล้ว เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ๖ ปีฐานปล้นทรัพย์ ต้องหาในคดีนี้ภายใน ๓ ปีนับแต่วันพ้นโทษ
วันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยให้การตามที่ศาลจดไว้ว่า จำเลยขอให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๙, ๘๓ ให้จำคุก ๕ ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งรวมเป็นโทษ ๗ ปี ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย แต่ข้อที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ขณะจำเลยแถลงรับข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ จำเลยยังไม่มีทนายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๗๓ จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะที่จะถูกสอบถามให้การ ศาลจะเริ่มทำการพิจารณาไม่ได้ถึงวันนัดสืบพยาน เมื่อจำเลยมีทนายแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดถือว่าปฏิเสธรวมทั้งข้อเคยต้องโทษมาก่อนด้วย เมื่อจำเลยปฏิเสธข้อเคยต้องโทษและโจทก์ไม่มีพยานสืบ ก็เพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามมาตรา ๙๓ คงให้จำคุกจำเลยเพียง ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทและโทษ ถือว่าแก้ไขมาก คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๗๓ บัญญัติเพียงว่า ในคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป ฯลฯ ก่อนเริ่มพิจารณา ให้ศาลสอบถามว่าจำเลยมีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการ ก็ให้ศาลตั้งทนายให้ ศาลฎีกาเห็นว่า กฎหมายมาตรานี้บัญญัติขึ้นเพื่อให้จำเลยมีทนายต่อสู้ในคดีอุกฉกรรจ์ที่มีโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป ไม่ได้หมายความรวมถึงโทษที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย การที่จำเลยจะถูกเพิ่มโทษหรือไม่ เป็นคนละส่วนกับกรณีความผิดที่จำเลยถูกฟ้องร้อง ฉะนั้น แม้จำเลยจะรับในข้อเคยต้องโทษก่อนตั้งทนาย คำรับก็ไม่เสียไป
เฉพาะคดีนี้ได้พิจารณาคำรับของจำเลยซึ่งมีข้อความว่า จำเลยขอให้การวันนัด ได้หาทนายความไว้แล้ว ไม่ต้องการให้ศาลตั้งทนายให้อีก รับว่าก่อนคดีนี้จำเลยมีอายุเกิน ๑๗ ปีแล้ว เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกมีกำหนด ๖ ปีฐานปล้นทรัพย์ พ้นโทษเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๐๗ แล้ว เห็นว่าข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษนั้น จำเลยไม่ติดใจจะต่อสู้ จำเลยจึงรับ คงติดใจต่อสู้คดีเฉพาะข้อหาฐานชิงทรัพย์เท่านั้น ถึงวันที่จำเลยให้การ จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิด จึงเห็นได้ว่าจำเลยปฏิเสธมิได้กระทำผิดในข้อหาฐานชิงทรัพย์เท่านั้น ไม่มีถ้อยคำอะไรที่จะแสดงว่าจำเลยได้ปฏิเสธถึงข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษตามที่จำเลยรับไว้แล้วเลย เมื่อจำเลยรับแล้ว โจทก์ก็ไม่จำต้องสืบพยานอีก ศาลพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยตามคำรับนั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่เพิ่มโทษจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เพิ่มโทษจำเลย โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฎีกาจำเลย.