แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ สำหรับความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 3 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า ความผิดทั้งสามฐานเป็นกรรมเดียวและมีระวางโทษเท่ากัน ลงโทษฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงกระทงเดียวและปรับ 30,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลย ดังนี้ แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะได้รอการลงโทษจำคุกจำเลยอันเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษในความผิดทั้งสามฐานดังกล่าวนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ในข้อนี้มานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้ การที่จำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมที่มีอยู่นั้นมาตั้งเป็นสถานีวิทยุคมนาคมขึ้นก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้เช่นกัน ความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมกับฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว
เจ้าพนักงานตำรวจยึดประกาศนียบัตรลักษณะเดียวกันหลายฉบับ รูปถ่ายจำเลยซึ่งอุปโลกน์ตนเองเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรม รูปถ่ายสมาชิกแต่งเครื่องแบบทหารและไม่ได้แต่งเครื่องแบบ อาร์มหน่วยปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำหน่วยเหนือ ทภ.3 แบบพิมพ์ใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองพันอาสาสมัครป้องกันชาติปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำ ภาพสัญลักษณ์หัวเสือคาบดาบหน่วยจู่โจมล่าสังหารเฉพาะกิจลับพิเศษ จทฐ. พล. ร.10 ป.พัน ทับทิมดำ ปฏิบัติการพิเศษ บัตรประจำตัวไทยอาสาป้องกันชาติออกให้โดยอำเภอจุน จังหวัดพะเยา มีรอยแกะรูปถ่ายออก มีรอยลบชื่อและพิมพ์ชื่อของจำเลยแทน ตามบัญชีของกลางคดีอาญา ทั้งในประกาศนียบัตรยังมีตราครุฑ ข้อความว่า ก.ห.0043 ซึ่งตัวย่อ ก.ห. น่าจะหมายถึงกระทรวงกลาโหม มีระบุยศพันโทนำหน้าชื่อของจำเลย หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะยกตนเองขึ้นเป็นใหญ่ เริ่มต้นจากการเป็นครูบาเจ้าสำนัก แล้วซ่องสุมสมาชิกเพื่อสร้างเสริมบารมีให้กับตน โดยแอบอ้างหน่วยงานทางทหารหรือกองทัพบก แม้หน่วยงานที่อ้างจะไม่มีอยู่จริงก็ตาม พฤติกรรมของจำเลยเห็นได้ชัดว่ารู้เห็นเป็นใจในการปลอมประกาศนียบัตรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อจูงใจคนสมัครเป็นสมาชิก และเพื่อให้แนบเนียนสมจริงจึงอุปโลกน์ยศทหารของตนไว้ด้วย ดังเช่นการอุปโลกน์ตนเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรมดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 4, 6, 11, 22, 23 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 146, 264, 265 ริบเครื่องวิทยุคมนาคม แบตเตอรี่ หม้อแปลงไฟฟ้าและอุปกรณ์การติดตั้งสถานีวิทยุคมนาคมของกลาง เพื่อไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข และริบเอกสารประกาศนียบัตรปลอมของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพเพิ่มเติมในข้อหาใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 11 วรรคหนึ่ง, 23 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146, 265 ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานใช้วิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานปลอมเอกสารราชการ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จำคุก 3 เดือน ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานปลอมเอกสารราชการ และฐานใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย คำรับและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 เดือน ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 4 เดือน ฐานปลอมเอกสารราชการจำคุก 1 ปี ฐานใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 12 เดือน ริบเครื่องวิทยุคมนาคม แบตเตอรี่ หม้อแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์การติดตั้งสถานีวิทยุคมนาคมของกลางเพื่อไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข ริบประกาศนียบัตรปลอมของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นกรรมเดียวกันและมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และลงโทษปรับ 30,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา 78 แล้ว คงจำคุก 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง กับให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องข้อหาใช้ยศทหารโดยไม่มีสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146 และข้อหาปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2541 เวลา 6.30 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจนำหมายค้นไปตรวจค้นบ้านของจำเลย ซึ่งเป็นบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ตำบลงิ้ว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย สามารถตรวจยึดได้เครื่องวิทยุคมนาคม แบตเตอรี่ หม้อแปลงไฟฟ้า สายนำสัญญาณวิทยุสื่อสารยาวประมาณ 10 เมตร สายอากาศแบบสไลด์และแบบเจ ประกาศนียบัตรระบุชื่อจำเลยโดยมียศพันโทนำหน้า และของกลางอื่นรวม 14 รายการ
คดีนี้สำหรับความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 3 เดือน ฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่าความผิดทั้งสามฐานเป็นกรรมเดียว และมีระวางโทษเท่ากัน ลงโทษฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเพียงกระทงเดียวและปรับ 30,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลย ดังนี้ แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะได้รอการลงโทษจำคุกจำเลย อันเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษในความผิดทั้งสามฐานดังกล่าวนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ในข้อนี้นั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และความผิดฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 6 และ 11 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หรือเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่า การที่จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้ และการที่จำเลยนำเครื่องวิทยุคมนาคมที่มีอยู่นั้นมาตั้งเป็นสถานีวิทยุคมนาคมขึ้นก็ด้วยเจตนาเพื่อใช้เช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมกับฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมามีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานตำรวจยึดประกาศนียบัตรได้ที่บ้านของจำเลย นอกจากนี้ยังยึดได้ประกาศนียบัตรลักษณะเดียวกันอีกหลายฉบับ รูปถ่ายจำเลยซึ่งอุปโลกน์ตนเองเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรม รูปถ่ายสมาชิกแต่งเครื่องแบบทหารและไม่ได้แต่งเครื่องแบบ อาร์มหน่วยปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำหน่วยเหนือ ทภ.3 แบบพิมพ์ใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองพันอาสาสมัครป้องกันชาติปฏิบัติการพิเศษทับทิมดำ ภาพสัญลักษณ์หัวเสือคาบดาบหน่วยจู่โจมล่าสังหารเฉพาะกิจลับพิเศษ จทฐ. พล ร.10 ป.พัน ทับทิมดำ ปฏิบัติการพิเศษ บัตรประจำตัวไทยอาสาป้องกันชาติออกให้โดยอำเภอจุน จังหวัดพะเยา มีรอยแกะรูปถ่ายออก มีรอยลบชื่อ และพิมพ์ชื่อของจำเลยแทน ยังมีตราครุฑ ข้อความว่า ก.ห.0043 ซึ่งตัวย่อ ก.ห. น่าจะหมายถึงกระทรวงกลาโหม มีระบุยศพันโทนำหน้าชื่อของจำเลย หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะยกตนเองขึ้นเป็นใหญ่ เริ่มต้นจากการเป็นครูบาเจ้าสำนัก แล้วซ่องสุมสมาชิกเพื่อสร้างเสริมบารมีให้กับตน โดยแอบอ้างหน่วยงานทางทหารหรือกองทัพบก แม้หน่วยงานที่อ้างจะไม่มีอยู่จริงก็ตาม พฤติกรรมของจำเลยเห็นได้ชัดว่าจำเลยรู้เห็นเป็นใจในการปลอมประกาศนียบัตร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการโฆษณาชวนเชื่อจูงใจให้คนสมัครเป็นสมาชิก และเพื่อให้แนบเนียนสมจริงจึงอุปโลกน์ยศทหารของตนไว้ด้วย ดังเช่นการอุปโลกน์ตนเป็นครูบาขาวเจ้าศรีสุธรรมดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องในสองข้อหานี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146, 265 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารราชการ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จำคุก 3 เดือน คำรับและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษฐานปลอมเอกสารราชการ จำคุก 1 ปี ฐานใช้ยศโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 2 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ กับให้ยกเลิกการคุมความประพฤติจำเลยในความผิดฐานตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5