คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายว่าอย่าส่งเสียงและให้ส่งของมีค่าให้ เมื่อผู้เสียหายส่งกระเป๋าสะพายให้และพูดว่า จะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจำตัวประชาชนไว้ จำเลยค้นกระเป๋าสะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีค่าจึงส่งกระเป๋าสะพายคืนให้ และคลำที่คอผู้เสียหายเพื่อหาสร้อยคอ ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไม่มีของมีค่าติดตัวมา จำเลยจึงปล่อยตัวผู้เสียหายแล้วเดินหนีไป แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ประสงค์จะแย่งเอากระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไปเป็นของตน เพียงแต่ต้องการค้นหาของมีค่าในกระเป๋าสะพายเท่านั้น มิฉะนั้นเมื่อจำเลยได้กระเป๋าสะพายแล้วก็ต้องหลบหนีไปทันทีโดยไม่ต้องเปิดดูและคืนกระเป๋าสะพายให้ผู้เสียหาย ดังนั้น เมื่อจำเลยยังไม่ได้ของมีค่าตรงตามเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นการชิงทรัพย์สำเร็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 339, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนและมีดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครอง พาอาวุธปืนและมีดติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาชิงทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธปืน จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (ที่ถูก มาตรา 90) จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 15 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 12 เดือน ริบอาวุธปืนและมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน (ที่ถูก ฐานพยายามชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธปืน) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี และมาตรา 80 จำคุก 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 5 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งของมีค่าแก่ตน ผู้เสียหายส่งกระเป๋าสะพายซึ่งมีเงิน 70 บาท ให้คนร้ายดูแล้วส่งคืนให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวกับมีด 1 เล่ม ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งของมีค่าแก่ตนหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งของมีค่าแก่ตน ที่จำเลยนำสืบในทำนองว่า จำเลยผ่านไปบริเวณที่ถูกจับโดยบังเอิญ และถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายจนต้องให้การรับสารภาพนั้น จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ ปากเดียวโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุนจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ที่จำเลยอ้างว่า หากจำเลยเป็นคนร้ายจริงย่อมต้องหลบหนีไปแล้วไม่น่าจะถูกจับได้อย่างรวดเร็วเป็นเรื่องผิดวิสัยนั้น เมื่อได้ความว่าหลังเกิดเหตุผู้เสียหายรีบไปแจ้งความและเจ้าพนักงานตำรวจก็ออกติดตามคนร้ายทันที การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้อย่างรวดเร็วจึงไม่เป็นเรื่องผิดวิสัย ส่วนเหตุผลอื่นที่จำเลยอ้างในฎีกานอกจากนี้เป็นเรื่องปลีกย่อยไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งของมีค่าแก่ตนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการชิงทรัพย์สำเร็จหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายว่าอย่าส่งเสียงและให้ส่งของมีค่าให้ เมื่อผู้เสียหายส่งกระเป๋าสะพายให้จำเลยและพูดว่าจะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจำตัวประชาชนไว้ จำเลยค้นกระเป๋าสะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีค่าจึงส่งกระเป๋าสะพายคืนให้ และคลำที่คอผู้เสียหายเพื่อหาสร้อยคอ ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไม่มีของมีค่าติดตัวมา จำเลยจึงปล่อยตัวผู้เสียหายแล้วเดินหนีไป แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ประสงค์จะแย่งเอากระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไปเป็นของตน เพียงแต่ต้องการค้นหาของมีค่าในกระเป๋าสะพายเท่านั้น มิฉะนั้นเมื่อจำเลยได้กระเป๋าสะพายแล้วก็ต้องหลบหนีไปทันทีโดยไม่ต้องเปิดดูและคืนกระเป๋าสะพายให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นการชิงทรัพย์สำเร็จ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนให้จำเลยหรือไม่ ปัญหานี้จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์แล้วแต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางพยายามชิงทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของสุจริตชนและสังคมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จำเลยอ้างความจำเป็นเรื่องครอบครัวยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ ที่จะรอการลงโทษในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนให้จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share