คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8673/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยชำระเงินกู้ให้โจทก์ทั้งหมดครบถ้วนแล้ว โจทก์ตกลงยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่ให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทนในวันที่จำเลยชำระหนี้ครบถ้วน หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นหนี้ที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องชำระตอบแทนซึ่งกันและกันทันทีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ มิใช่เพียงข้อผูกพันที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะแยกการชำระหนี้ออกจากกันได้ กรณีจึงต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 369 คือคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ การที่โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมเงินทั้งหมดแก่โจทก์โดยไม่ได้เสนอว่าโจทก์ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญากู้เงินตอบแทนด้วยจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระหนี้กู้ยืมเงินให้แก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะขอชำระหนี้ตอบแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 537,191 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จริง แต่จำเลยได้รับเงินจากโจทก์เพียง 200,000 บาท ไม่ครบจำนวนตามสัญญากู้และตามสัญญามีข้อตกลงว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินกู้คืนจากจำเลยได้ต่อเมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 265906 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะส่วนที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่ให้แก่จำเลยแล้วแต่โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้แสดงเจตนาโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย และยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาในหนังสือบอกกล่าวทวงถามจำเลยไม่ได้ผิดนัด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จะเลยชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกิน 37,191 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยภายในวันที่ 15 ของเดือนนับแต่เดือนมิถุนายน 2541 เป็นต้นไป กำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2542 ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.6 จำเลยรับเงินดังกล่าวไปครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินและมีหนังสือบอกเลิกสัญญา จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วตามหนังสือเอกสารหมาย จ.8 และใบตอบรับเอกสารหมาย จ.9 จำเลยเพิกเฉย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ข้อตกลงในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 เป็นสัญญาต่างตอบแทนหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 ระบุไว้ชัดว่า “หากผู้กู้ชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดให้แก่ผู้ให้กู้ครบถ้วนแล้ว ผู้ให้กู้ตกลงยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่ตนเองถือกรรมสิทธิ์อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 265906 เลขที่ดิน 9160 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการให้แก่ผู้กู้ในวันที่ผู้กู้ชำระหนี้ครบถ้วน…” ข้อตกลงในสัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงที่มีเงื่อนไขโดยชัดแจ้งว่าหากจำเลยชำระหนี้กู้ยืมเงินทั้งหมดให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วโจทก์ตกลงยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงินดังกล่าวให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทนในวันที่จำเลยชำระหนี้ครบถ้วน ทำให้หนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นหนี้ที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องชำระหนี้ตอบแทนซึ่งกันและกันทันทีที่อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ มิใช่เพียงข้อผูกพันที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายสามารถแยกการชำระหนี้ออกจากกันได้ กรณีจึงต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 คือคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ การที่โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมเงินทั้งหมดแก่โจทก์ตามหนังสือทวงถามเอกสารหมาย จ.8 โดยโจทก์ไม่ได้เสนอว่าโจทก์ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 4 ตอบแทนแก่จำเลยด้วย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระหนี้กู้ยืมเงินตามข้อ 1 ให้แก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะขอชำระหนี้ตอบแทนตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share