คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซื้อของและผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้ครบ การที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยบอกคืนของที่ซื้อให้โจทก์ริบเงินมัดจำและโจทก์ยินยอมนั้น ย่อมเป็นข้อต่อสู้ว่าภายหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว คู่กรณีได้ทำความตกลงกันใหม่ โดยเลิกสัญญาเดิม ฉะนั้น จำเลยย่อมนำพยานบุคคลมาสืบได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซื้อเครื่องยนต์จากโจทก์ไป ๑ เครื่อง ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยชำระเงิน ๒,๐๐๐ บาท ค้าง ๑๘,๐๐๐ บาท สัญญาจะชำระภายใน ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ ถึงกำหนดไม่ชำระขอให้บังคับ
จำเลยให้การรับว่า ได้ทำสัญญาซื้อเครื่องยนต์ของโจทก์จริง แต่อ้างว่ามีนิติกรรมอำพรางกับโจทก์
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นให้จำเลยและโจทก์สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยบอกคืนเครื่องยนต์ให้โจทก์และให้โจทก์ริบเงินมัดจำ ๒,๐๐๐ บาท โจทก์ก็ยินยอมนั้น เป็นข้อต่อสู้ที่แสดงว่า หลังจากทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาซื้อขายต่อกัน ข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้ไม่มีลักษณะเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อความเอกสาร แต่เป็นข้อต่อสู้ในทางว่า ภายหลังจากทำหนังสือสัญญาต่อกันแล้ว คู่กรณีได้ทำความตกลงกันใหม่ ฉะนั้น การนำพยานบุคคลมาสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าวนั้น จึงไม่ใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามนำพยานบุคคลมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ จำเลยย่อมนำพยานบุคคลมาสืบได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share