คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หากคู่ความซึ่งแพ้คดีในศาลชั้นต้นได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ชนะคดีแล้วคู่ความฝ่ายนั้นก็มีสิทธิที่จะทำคำแถลงขอคืนเงินที่วางไว้ต่อศาลเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำสั่งศาลชั้นต้นได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้คดีถึงที่สุด

ย่อยาว

คดีนี้เนื่องจากศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตราจองที่ 248 เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ นางผ่องเพ็ญร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นทรัพย์ระหว่างสามีภริยาคือระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง โจทก์นำยึดได้ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ให้ผู้ร้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนาย 5,000 บาทแทนโจทก์ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดให้โจทก์จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย 2 ศาล 6,000 บาทแทนผู้ร้อง

ผู้ร้องยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายที่ผู้ร้องได้วางศาลไว้เพื่อชำระหนี้แทนโจทก์ในการอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าผู้ร้องเคยขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องแล้ว ผู้ร้องจึงได้นำเงินจำนวนนี้มาวางศาล ทั้งขณะนี้คดียังไม่ถึงที่สุดจึงไม่อนุญาต

ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนเงิน 5,275 บาทแก่ผู้ร้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เงินที่ผู้ร้องวางศาลไว้นั้น เป็นเงินที่วางไว้เพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแทนโจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ในการที่ผู้ร้องอุทธรณ์คดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251 บัญญัติว่า”ถ้าคู่ความซึ่งแพ้คดีในศาลชั้นต้นได้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ตนชนะในข้อสารสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง คู่ความฝ่ายนั้นจะยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือคืนเงินจำนวนที่วางไว้ต่อศาลในข้อนั้น ๆ ก็ได้” ดังนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นสิทธิของคู่ความฝ่ายที่ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ที่จะขอคืนเงินจำนวนที่วางไว้ต่อศาลนั้น ในคดีนี้ปรากฏว่าผู้ร้องชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากผู้ร้องไม่มีภาระในการที่จะต้องวางไว้ใช้แทนโจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์ยังบังคับให้โจทก์จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแทนผู้ร้องด้วยซ้ำไป ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะขอคืนเงินจำนวนที่วางไว้ต่อศาลนั้นได้ ไม่จำต้องรอให้คดีถึงที่สุด

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ควรทำเป็นคำสั่งไม่ใช่คำพิพากษาและการขอรับเงินผู้ร้องต้องทำเป็นคำขอ ไม่ใช่คำแถลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์จะทำเป็นคำสั่งหรือคำพิพากษาก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง และคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251 ก็มิได้บัญญัติว่าต้องทำเป็นคำร้อง ฉะนั้น ผู้ร้องจะทำคำแถลงขอรับเงินคืนก็ใช้ได้

พิพากษายืน

Share