คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แผงลอยที่ปลูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเข้าประกอบการค้าชั่วคราวนั้น แม้ภายหลังผู้เช่าแผงลอยจะมุงหลังคาสังกะสี ตีเพดานขึ้น ก็ไม่มีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยที่ถาวร การที่ผู้เช่าเข้าอยู่อาศัยและเทศบาลออกทะเบียนสำมะโนครัวให้ ก็ไม่ได้หมายความรับรองว่าแผงลอยเป็นอาคาร จึงไม่เป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ
จำเลยที่ 1 ปลูกแผงลอยในที่ดินของโจทก์แล้วให้จำเลยที่ 2 เช่า หากต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 จะยกสิทธิการเช่าที่โจทก์มิได้รู้เห็นด้วยขึ้นยันโจทก์ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 อยู่ในแผงลอยได้ก็เนื่องจากอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดูแลรักษาที่ดินราชพัสดุทรัพย์สินของแผ่นดิน หมายเลขที่ 5399 ซึ่งใช้ตั้งสถานีตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี โดยโจทก์ที่ 2-3 เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาเมื่อพ.ศ.2492 ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรีให้จำเลยที่ 1 อาศัยที่ดินบางส่วนสร้างแผงลอย โดยจำเลยที่ 2 กับพวกเป็นผู้ออกเงินค่าสร้าง แล้วยกแผงลอยให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 กับพวกอาศัยแผงลอยดังกล่าวทำการค้า โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 เข้าอาศัยในแผงลอยหมายเลข 6 และ 7 ทำการขายอาหาร บัดนี้ ทางราชการตำรวจต้องการที่ดินดังกล่าวเพื่อใช้ในราชการ ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อแผงลอยออกไปแล้ว จำเลยที่ 1 ว่ารื้อไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 กับพวกไม่ยอมออก และจำเลยที่ 2 ขัดขืน จึงฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 พร้อมบริวารรื้อแผงลอยออกไป ขับไล่จำเลยที่ 2 กับบริวารออกไปจากแผงลอยหมายเลข 6,7 และที่ดินของโจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของใครไม่ทราบ เมื่อ 10 ปีมานี้ นายกเทศบาลเมืองราชบุรีได้สร้างโรงเรือนขึ้นโดยรับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ไม่ใช่แผงลอย แล้วจำเลยเช่าอยู่เป็นที่อาศัยมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่อาศัย ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ และว่าเป็นคดีมโนสาเร่โจทก์ฟ้องผิดศาล

ในวันนัดชี้สองสถาน จำเลยที่ 1 รับว่าพร้อมด้วยบริวารยอมรื้อแผงลอยทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ ไม่ต่อสู้คดีและเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ คงดำเนินการพิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 2 ต่อไป

ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุ แผงลอยสร้างขึ้นเป็นการชั่วคราวไม่อยู่ในลักษณะถาวรจึงไม่เป็นเคหะ ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับความคุ้มครอง โจทก์ฟ้องเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ศาลจังหวัดราชบุรีมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมออกจากที่พิพาท จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 พร้อมบริวารรื้อแผงลอยไปจากที่ดินโจทก์ ขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวารออกจากแผงลอยหมายเลข 6, 7 และออกจากที่ดินโจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในครั้งแรกเทศบาลเมืองราชบุรีขออาศัยที่ว่างของราชพัสดุปลูกแผงลอยเพื่อให้คนเข้ามาขายของเป็นการชั่วคราวและปรากฏตามบันทึกของศาลชั้นต้นเมื่อไปดูที่พิพาทว่า ห้องของจำเลยที่ 2 พื้นลาดซิเมนต์ หลังคามุงสังกะสี ตีเพดานด้วยไม้ยางเพียงกลางห้อง หน้าแผงมีฝาทำด้วยสังกะสี ยกขึ้นเป็นหลังคา ขณะปิดร้านก็ปิดลงมาได้ ไม่มีห้องนอน เมื่อปิดร้านแล้วก็หลับนอนบนโต๊ะ เก้าอี้ที่คนมานั่งรับประทานอาหาร ส่วนแผงลอยทางด้านเหนือติดกับแผงลอยของจำเลยที่ 2 ไปอีก 3 ห้อง เป็นร้านโปร่ง ๆ กั้นหลังคาด้วยผ้าใบไม่มีฝากั้น มีไม้ปักแบ่งเป็นห้องเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าแผงลอยเหล่านี้ปลูกสร้างขึ้นเพื่อให้ประกอบการค้าชั่วคราวเท่านั้นแม้ภายหลังจำเลยที่ 2 จะมุงหลังคาสังกะสีและตีเพดานขึ้นก็ไม่มีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยที่ถาวรแต่อย่างใด และการที่เทศบาลเมืองราชบุรีออกทะเบียนสำมะโนครัวให้ ก็ไม่ได้หมายความรับรองว่าแผงลอยนี้เป็นอาคาร จึงไม่เป็นเคหะตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับความคุ้มครอง ส่วนในเรื่องที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความต่างกับฟ้องโดยจำเลยที่ 2 เช่าห้องพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้อาศัยโจทก์นั้นหากจะมีการเช่ากันจริง ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2โจทก์มิได้รู้เห็นด้วย ทั้งไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 จำเลยที่ 2 จะยกสิทธิการเช่านี้ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้ และการที่จำเลยที่ 2 อยู่ในห้องพิพาทได้ก็อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งอาศัยโจทก์นั่นเอง ข้อเท็จจริงไม่ต่างกับฟ้อง

พิพากษายืน

Share