คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8655/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลย ต่อมาจำเลยประพฤติตนไม่ดี เล่นการพนันและเสพสุรา โจทก์ได้ว่ากล่าวตักเตือน จำเลยไม่ยอมเชื่อฟังกลับด่าโจทก์ว่า “อีแก่ อีชาติหมา มึงจะไปตายไหนก็ไป กูไม่นับถือมึงเป็นแม่ลูกกัน” อันเป็นถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายเปรียบโจทก์เป็นสัตว์และด่าว่าให้โจทก์ไปตาย และจำเลยใช้ไม้จะตีโจทก์ ซึ่งจำเลยในฐานะบุตรไม่พึงกระทำต่อโจทก์ผู้เป็นมารดา การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ผู้ให้ย่อมเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์เพิกถอนการให้ และส่งมอบที่ดินตามโฉนดเลขที่ 7649 ตำบลยางใหญ่ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด คืนให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยด่าว่าและหมิ่นประมาทโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกที่ดินคืน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 7649ตำบลยางใหญ่ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย เมื่อวันที่ 11กรกฎาคม 2529 โจทก์ได้ยกที่ดินจำนวน 3 ไร่ 28 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 3303 ตำบลปาฝา อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ให้แก่จำเลยโดยเสน่หาซึ่งปัจจุบันคือที่ดินโฉนดเลขที่ 7649 ตำบลยางใหญ่ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 6 เดือน นับแต่ทราบเหตุที่จะเรียกถอนคืนการให้ ฟ้องโจทก์เป็นอันขาดอายุความ เห็นว่าในชั้นยื่นคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะวินิจฉัย การที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เป็นฎีกาที่มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ปัญหาวินิจฉัยในประการต่อมามีว่า โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณได้หรือไม่ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม2529 โจทก์ได้ยกที่ดินบางส่วนให้แก่จำเลยเนื้อที่ 3 ไร่ 28 ตารางวา ตามหนังสือสัญญาแบ่งให้เอกสารหมาย จ.1 เมื่อต้นปี 2539 จำเลยประพฤติตนไม่ดี เล่นการพนันและเสพสุรา โจทก์ได้ว่ากล่าวตักเตือนจำเลยไม่ยอมเชื่อฟังกลับด่าโจทก์ว่า “อีแก่ อีชาติหมา มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป กูไม่นับถือมึงเป็นแม่ลูกกัน” ทำให้โจทก์เสียใจและได้รับความอับอายต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2539 จำเลยด่าโจทก์อีก และจะเอาค้อนมาตี แต่นางบดเจริญเขต มาช่วยไว้ทัน ปลายเดือนพฤศจิกายนจำเลยจะใช้ค้อนตีโจทก์ แต่นายหนูเกณฑ์เจริญเขต มาช่วยไว้ทัน โจทก์ได้ทวงที่ดินคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนให้ เห็นว่าโจทก์เบิกความยืนยันว่าเมื่อโจทก์ไปห้ามปรามจำเลยมิให้เล่นการพนันและเสพสุรา จำเลยกลับด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเปรียบโจทก์เป็นสัตว์และด่าว่าให้โจทก์ไปตาย นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางบด พี่สาวจำเลยและนายหนูเกณฑ์ พี่เขยจำเลยมาเบิกความว่า จำเลยด่าว่าโจทก์และใช้ไม้จะตีโจทก์ อันเป็นการสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยด่าว่าโจทก์จริง ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้ด่าว่าโจทก์ โดยมีนางวงเดือน วิเศษดอนหวาย มาเบิกความสนับสนุน แต่นางวงเดือนตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539 โจทก์กับจำเลยได้ด่ากันและทะเลาะกัน ส่วนนายถาวร นิลพันธุ์ พยานจำเลยอีกปากหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลดินดำ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด ที่โจทก์กับจำเลยเป็นลูกบ้านอยู่ก็เบิกความว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2539 จำเลยได้ด่าว่าโจทก์และจะใช้ไม้ตีโจทก์ คำเบิกความของนางวงเดือนและนายถาวรเป็นการเจือสมกับพยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยด่าว่าโจทก์และจะทำร้ายโจทก์ดังที่โจทก์เบิกความจริง โจทก์เป็นมารดาจำเลยย่อมมีความรักใคร่และห่วงใยจำเลยผู้เป็นบุตร โจทก์จึงว่ากล่าวตักเตือนเมื่อเห็นจำเลยประพฤติตนไม่ดี จำเลยไม่ยอมเชื่อฟังกลับด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายซึ่งจำเลยในฐานะบุตรไม่พึงกระทำต่อมารดา การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ผู้ให้ย่อมเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยผู้รับประพฤติเนรคุณได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)

ที่จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่าโจทก์ได้ให้อภัยแก่จำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกถอนคืนการให้ได้ โดยจำเลยฎีกาว่าหลังจากที่โจทก์อ้างว่าจำเลยด่าว่าโจทก์แล้วโจทก์ยังอยู่กับจำเลยเรื่อยมา โดยจำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูนั้น เห็นว่า เป็นข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share