คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8655/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของกรมทะเบียนการค้า พ.ศ. 2534 บัญญัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรไปเป็นของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ การดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนและการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจำเลย เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งหมด ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องกรมจำเลยซึ่งมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรับจดทะเบียนหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า จึงถือได้ว่าเป็นการฟ้องนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญาตามคำสั่งแต่งตั้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้วและประกอบกับอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นผู้แทนกรมจำเลยเป็นประธานกรรมการคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าด้วยตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 95 ย่อมถือได้ว่าการฟ้องกรมจำเลยก็เท่ากับเป็นการฟ้องอธิบดีซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จึงถือได้ว่าเป็นการฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแล้ว ไม่จำต้องฟ้องกรรมการทุกคน
การที่นายทะเบียนพิจารณาและออกคำสั่งว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบริษัท ส. ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วนั้นหาได้ตัดรูปแผนที่ออกเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายแล้วจึงพิจารณาเปรียบเทียบเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัทดังกล่าวไม่การปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงเป็นการปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งหมด ส่วนการที่นายทะเบียนสั่งให้โจทก์ยื่นคำร้องขอสละสิทธิในรูปแผนที่มีผลเพียงให้โจทก์ไม่อาจขอถือสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้รูปแผนที่นั้นเท่านั้น หาได้เป็นการให้โจทก์ออกไม่ ซึ่งนายทะเบียนยังระบุแจ้งให้โจทก์ทราบถึงสิทธิของโจทก์ไว้ชัดเจนว่า หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของนายทะเบียนดังกล่าวโจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่ง อันเป็นสิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ต่อมาบริษัท ส. ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนอีกสองเครื่องหมายการค้าเพื่อให้ภาพรวมเครื่องหมายการค้าของบริษัท ส. เหมือนหรือคล้ายกับภาพรวมเครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบริษัท ส. ที่จะโต้แย้งและพิสูจน์กันว่าผู้ใดมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่ากัน หาใช่เรื่องที่แสดงว่านายทะเบียนมีคำสั่งไปโดยไม่ชอบหรือมีเจตนาไม่สุจริตอย่างใดไม่ โจทก์ไม่อาจขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนดังกล่าวได้
การวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นการพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 96(1) ประกอบมาตรา 16 และ 18 เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยยืนตามคำสั่งของนายทะเบียนที่ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โดยเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีเสียงเรียกขานเหมือนกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้ว โดยมิได้พิจารณาว่ารูปลักษณะของเครื่องหมายการค้าทั้งสองเหมือนหรือคล้ายกันหรือไม่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้ใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาไม่สุจริตหรือโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพราะเหตุผลในการพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองเหมือนหรือคล้ายกันหรือไม่มีได้หลายประการ และเหตุผลที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้วินิจฉัยดังกล่าวก็เป็นเหตุผลหนึ่งในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว เมื่อไม่ปรากฏจากทางนำสืบและพยานหลักฐานของโจทก์ว่าความเห็นของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าในคำวินิจฉัยอุทธรณ์เกิดจากการใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาไม่สุจริตหรือโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือมีเจตนาจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้
เครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนทั้งสามคำขอของโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน โจทก์จึงอยู่ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน หากโจทก์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวดีกว่าบริษัท ส. โจทก์ก็ต้องฟ้องบริษัทดังกล่าวขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นตามมาตรา 67แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ เพราะผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์คือบริษัท ส. หาใช่กรมทรัพย์สินทางปัญญาจำเลยไม่ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของบริษัท ส. ได้

ย่อยาว

โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอของโจทก์ และคำสั่งที่ให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งทั้งสองและเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 49839 ดังกล่าว และให้จำเลยรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 282858 ของโจทก์ต่อไป

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและคำสั่งเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า แต่เป็นหน้าที่ของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง อย่างไรก็ตามนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้พิจารณาคำขอของโจทก์ถูกต้องตามหลักกฎหมาย ตรงต่อข้อเท็จจริงและเป็นธรรมแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาของศาลแพ่ง คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันร้องขอให้โอนคดีนี้ไปพิจารณาพิพากษาในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 46 ศาลแพ่งอนุญาต แล้วให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้รับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องกรมจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยอ้างว่านายทะเบียนและคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งและคำวินิจฉัยนั้นไปโดยมีเจตนาไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามคำฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ และของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการไปเป็นของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2535 บัญญัติให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรไปเป็นของกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ หรือของเจ้าหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2535 กำหนดให้กรมทรัพย์สินทางปัญญามีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาอื่นรวมทั้งดำเนินการด้านกฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ซึ่งมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกำหนดให้กองตรวจสอบ 2 กรมทรัพย์สินทางปัญญา มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า กองทะเบียนและหนังสือสำคัญ กรมทรัพย์สินทางปัญญา มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการประกาศโฆษณาและการรับจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา จัดเก็บเอกสารทางทะเบียน รวมทั้งออกหนังสือรับรองและต่ออายุทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา และกองบริการและเผยแพร่กรมทรัพย์สินทางปัญญา มีอำนาจหน้าที่ในการให้คำปรึกษาแนะนำ และบริการเกี่ยวกับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาและจัดทำสารบบและกำกับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็นไปตามกฎหมาย นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แต่งตั้งให้ผู้อำนวยการกองตรวจสอบ 2 ผู้อำนวยการกองบริการและเผยแพร่ ผู้อำนวยการกองทะเบียนและหนังสือสำคัญ และข้าราชการตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไปใน 3 กองดังกล่าวเป็นนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2536) เรื่อง แต่งตั้งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายและประกาศดังกล่าวเห็นได้ว่าการดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนและการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งหมด ดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องกรมจำเลยซึ่งมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรับจดทะเบียนหรือไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้าดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ และของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์พ.ศ. 2535 มาตรา 3 และพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 3 จึงถือได้ว่าเป็นการฟ้องนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญาตามคำสั่งแต่งตั้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้ว และประกอบกับอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นผู้แทนกรมจำเลยเป็นประธานกรรมการคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าด้วยตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 95 ย่อมถือได้ว่าการฟ้องกรมจำเลยก็เท่ากับเป็นการฟ้องอธิบดี ซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จึงถือได้ว่าเป็นการฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแล้วไม่จำต้องฟ้องกรรมการทุกคน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องกรมจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยอ้างว่านายทะเบียนและคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งและคำวินิจฉัยนั้นไปโดยมีเจตนาไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามคำฟ้องได้โดยไม่จำต้องฟ้องนายทะเบียนและกรรมการเครื่องหมายการค้าทุกคน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้านั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งตามเอกสารหมาย จ.18 ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามคำขอเลขที่ 283858เอกสารหมาย จ.5 เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ 149965ทะเบียนเลขที่ 164227 เอกสารหมาย จ.10 เป็นคำสั่งที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาไม่สุจริตและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยนายทะเบียนจงใจให้โจทก์เสียหายหรือไม่ ปัญหานี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังมิได้วินิจฉัย แต่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยได้สืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับปัญหานี้มาแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงเห็นสมควรไม่ย้อนสำนวนและวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไป โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารวม 3 เครื่องหมาย ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.5และ จ.6 มีคำว่า “มดแดง” รูปมด คำว่า “สยามกลู” และรูปแผนที่ แต่เครื่องหมายการค้าของบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.10 มีรูปมดเพียงอย่างเดียว ต่อมาบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใหม่อีก 2 เครื่องหมาย เพราะเห็นว่าไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นคำว่า “มดแดง” ตามเอกสารหมาย จ.13 และรูปมดแดงเหยียบโลกตามเอกสารหมาย จ.31 การที่บริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ยื่นคำขอจดทะเบียนใหม่ดังกล่าวก็เพื่อให้ภาพรวมเครื่องหมายการค้าของบริษัทเหมือนหรือคล้ายกับภาพรวมของเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.5 และ จ.6 การที่นายทะเบียนมีคำสั่งว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งมีรูปเครื่องหมายการค้าเป็นรูปมดเพียงตัวเดียวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายนอกจากนี้นายทะเบียนยังได้สั่งให้โจทก์สละสิทธิรูปแผนที่ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามคำสั่งเอกสารหมาย จ.20 จึงเห็นได้ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 เมื่อพิจารณาทั้งเครื่องหมายการค้าแล้วย่อมมีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้และไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัทโสภณพัฒนาจำกัด ตามเอกสารหมาย จ.10 คำสั่งของนายทะเบียนตามเอกสารหมาย จ.18 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อนี้ปรากฏตามคำสั่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย จ.18 ว่านายทะเบียนมีคำสั่งว่า การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534มาตรา 6 เพราะเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตามมาตรา 13 คือ คำขอเลขที่ 149965 ทะเบียนเลขที่ 164227 กรณีไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนายทะเบียน โจทก์มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้ หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จะถือว่าโจทก์ละทิ้งคำขอจดทะเบียน และปรากฏตามคำสั่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเอกสารหมาย จ.20 ว่า นายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่า มีส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายหรือไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 17 ให้ปฏิบัติต่อไปนี้ภายใน90 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่งนี้คือ ให้ยื่นคำร้องสละสิทธิว่าโจทก์จะไม่ขอถือสิทธิของตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้รูปแผนที่ ถ้าโจทก์ไม่เห็นด้วย โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้ เห็นว่า การพิจารณาออกคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามเอกสารหมาย จ.18 เป็นความเห็นของนายทะเบียนว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนตามเอกสารหมาย จ.10 ของบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ซึ่งเป็นการพิจารณาและออกคำสั่งไปตามที่โจทก์มีคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นอันเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามมาตรา 6และ 13 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ส่วนการพิจารณาและมีความเห็นว่ารูปแผนที่ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายและให้โจทก์สละสิทธิที่จะไม่ขอถือสิทธิของตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้รูปแผนที่นั้นก็เป็นการพิจารณาและมีความเห็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเช่นกัน ไม่ปรากฏจากทางนำสืบและพยานหลักฐานของโจทก์ว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยและมีคำสั่งไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือโดยมีเจตนาไม่สุจริตจงใจให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด แม้คำสั่งตามเอกสารหมาย จ.18 และ จ.20 นายทะเบียนจะมีคำสั่งในวันเดียวกันคือวันที่ 1 มิถุนายน 2538 ก็ตาม แต่จำเลยก็นำสืบว่า เหตุที่มีการออกคำสั่งเป็นคนละฉบับกันเป็นเพราะรูปแบบของคำสั่งและลักษณะการปฏิเสธ ซึ่งมีเหตุผลให้รับฟังได้เพราะการพิจารณาและวินิจฉัยมีคำสั่งตามเอกสารหมาย จ.18 และ จ.20 อาศัยเหตุผลตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ต่างเรื่องและต่างมาตรากันการที่นายทะเบียนพิจารณาและออกคำสั่งไปตามเอกสารหมาย จ.18 เป็นการพิจารณาเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกส่วนทั้งหมดแล้วจึงมีความเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ที่ได้รับการจดทะเบียนไว้แล้วหาได้ตัดรูปแผนที่ออกเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายแล้ว จึงได้พิจารณาเปรียบเทียบเครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้า จดทะเบียนของบริษัทดังกล่าวไม่การปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงเป็นการปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 ทั้งหมด การที่นายทะเบียนสั่งให้โจทก์ยื่นคำร้องขอสละสิทธิในรูปแผนที่มีผลเพียงให้โจทก์ไม่อาจขอถือเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้รูปแผนที่นั้นเท่านั้น หาได้เป็นการให้โจทก์ต้องตัดรูปแผนที่ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ออกไม่ และคำสั่งของนายทะเบียนตามเอกสารหมาย จ.18 และ จ.20 ก็ได้ระบุแจ้งให้โจทก์ทราบถึงสิทธิของโจทก์ไว้ชัดเจนว่า หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของนายทะเบียนดังกล่าว โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่งดังกล่าว อันเป็นสิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ต่อมาบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “มดแดง” และเครื่องหมายการค้ารูปมดแดงเหยียบโลก ตามเอกสารหมาย จ.13 และ จ.31 เพื่อให้ภาพรวมเครื่องหมายการค้าของบริษัทเหมือนหรือคล้ายกับภาพรวมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.5 และ จ.6 นั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ที่จะโต้แย้งและพิสูจน์กันว่าผู้ใดมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่ากัน หาใช่เรื่องที่แสดงว่านายทะเบียนมีคำสั่งตามเอกสารหมาย จ.18 ไปโดยไม่ชอบหรือมีเจตนาไม่สุจริตอย่างใดไม่ คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามเอกสารหมาย จ.18 จึงไม่ใช่คำสั่งที่นายทะเบียนใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาไม่สุจริตและไม่ใช่คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยนายทะเบียนจงใจให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนดังกล่าวได้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต่อไปมีว่า คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้ใช้ดุลพินิจไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 โดยมีเจตนาไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายกับมีเจตนาจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าใช้ดุลพินิจวินิจฉัยปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 เกี่ยวกับการเรียกขานโดยวินิจฉัยว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์อาจเรียกขานว่าตรามดเช่นกัน อาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิดในความผิดเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า โจทก์เห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต้องเรียกขานว่ามดแดงเหยียบโลก ไม่ใช่เรียกขานว่า ตรามด ดังที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าวินิจฉัย การวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคณะกรรมการมิได้วินิจฉัยตามข้ออุทธรณ์เกี่ยวกับรูปลักษณะของเครื่องหมายการค้ามิได้อุทธรณ์ในเรื่องการเรียกขานแต่อย่างใด ข้อนี้ปรากฏตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 1224/2539 เอกสารหมาย จ.35 ว่าคณะกรรมการวินิจฉัยว่า เครื่องหมายการค้าคำว่า “มดแดง” และรูปมดอยู่บนรูปลูกโลกของโจทก์ซึ่งขอจดทะเบียนเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 1 (ที่ถูกเป็นจำพวกที่ 17) รายการสินค้า กาวยาง (ที่ถูกเป็นกาวลาเท็กซ์) ตามคำขอเลขที่ 283858 เอกสารหมาย จ.5 ไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามมาตรา 6 และ 13 เพราะเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วเป็นรูปมดตามเอกสารหมาย จ.10 เนื่องจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีเสียงเรียกขานเหมือนกันกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วดังกล่าว เมื่อใช้สินค้าในจำพวกเดียวกันและมีรายการสินค้าครอบคลุมถึงกันอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ จึงปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 เห็นว่า การวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นการพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 96(1) ประกอบมาตรา 16 และ 18 ที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยยืนตามคำสั่งของนายทะเบียนที่ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์มีเสียงเรียกขานเหมือนกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วมิได้พิจารณาว่ารูปลักษณะของเครื่องหมายการค้าทั้งสองเหมือนหรือคล้ายกันหรือไม่นั้น ยังถือไม่ได้ว่าคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้ใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาไม่สุจริตหรือโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพราะเหตุผลในการพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองเหมือนหรือคล้ายกันหรือไม่มีได้หลายประการ และเหตุผลที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้วินิจฉัยดังกล่าวก็เป็นเหตุผลหนึ่งในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวแม้โจทก์จะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าว่ารูปลักษณะเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แต่วัตถุประสงค์ในการอุทธรณ์ของโจทก์ก็เพื่อคัดค้านคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เพราะเหตุที่นายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วดังกล่าว และขอให้คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยกลับคำสั่งของนายทะเบียนเป็นให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์การที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยยืนตามคำสั่งของนายทะเบียนโดยเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วเพราะอาจเรียกขานเครื่องหมายการค้าทั้งสองได้เหมือนกัน จึงถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของโจทก์แล้ว เพราะเหตุผลของการพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองเหมือนหรือคล้ายกันหรือไม่ มิได้มีเพียงการพิจารณารูปลักษณะของเครื่องหมายการค้าเท่านั้น หากแต่อาจพิจารณาจากภาพรวมของเครื่องหมายการค้าทั้งหมดตลอดจนสำเนียงเรียกขานเครื่องหมายการค้านั้นได้ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้วด้วย ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏจากทางนำสืบและพยานหลักฐานของโจทก์ว่าความเห็นของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าในคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย จ.35 เกิดจากการใช้ดุลพินิจโดยมีเจตนาไม่สุจริตหรือโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือมีเจตนาจงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังที่โจทก์อุทธรณ์ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเกี่ยวกับการปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพราะเห็นว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ 49839 ที่ได้จดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวกที่ 1รายการสินค้า กาวลาเท็กซ์สำหรับปูพื้นไม้ปาร์เกต์ ของบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด ตามคำขอจดทะเบียนเลขที่ 299575 เอกสารหมาย จ.31 คือเครื่องหมายการค้าได้หรือไม่ ปรากฏว่าเครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนทั้งสามคำขอของโจทก์คือ เครื่องหมายการค้าและตามเอกสารหมาย จ.3 จ.5 และ จ.6 ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน โจทก์จึงอยู่ในฐานะเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน หากโจทก์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังกล่าวและมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามทะเบียนเลขที่ 49839 ดีกว่าบริษัทโสภณพัฒนา จำกัดโจทก์ก็ต้องฟ้องบริษัทดังกล่าวขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 เพราะผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ในกรณีดังกล่าวคือบริษัทโสภณพัฒนา จำกัด หาใช่จำเลยไม่ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยเพื่อขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของบริษัทดังกล่าวได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล”

พิพากษายืน

Share