คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2528

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้จำเลยอายุเกิน 16 ปีซึ่งเป็นผู้ดูแลจัดการสถานการค้าประเวณีได้รับส่วนแบ่งจากการค้าประเวณีของหญิงที่ค้าประเวณี แต่จำเลยก็ประกอบอาชีพอื่นอยู่ด้วยคือขายผ้าและน้ำปลามีรายได้เดือนละ5-6 พันบาท แสดงว่าจำเลยมีรายได้จากการค้าขาย และไม่ปรากฏว่ารายได้ดังกล่าวไม่เพียงพอสำหรับดำรงชีพ ถึงจำเลยจะได้รับส่วนแบ่งจากหญิงซึ่งค้าประเวณีก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 286

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 จำคุก 6 เดือน และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี 4 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชูเกียรติ สิบตำรวจตรีทรงเดช ประกอบคำเบิกความของนายไพโรจน์ได้ความว่า จ่าสิบตำรวจชูเกียรติกับพวกเข้าไปในร้านไต้หวันดอกไม้สดแล้วได้ไปติดต่อกับนายไพโรจน์ผู้เป็นลูกจ้างซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกิจการของร้านไต้หวันดอกไม้สดแจ้งความประสงค์ต้องการหญิงร่วมประเวณีด้วย นายไพโรจน์ได้แจ้งราคาให้ทราบว่านำไปชั่วคราวคนละ 100 บาทเมื่อจ่าสิบตำรวจชูเกียรติตกลงและจ่ายเงินให้ 300 บาท นายไพโรจน์ก็จัดการนำหญิง 3 คนมาให้จ่าสิบตำรวจชูเกียรติกับพวกพาไปร่วมประเวณีได้ จึงฟังได้ว่าร้านไต้หวันดอกไม้สดนอกจากดำเนินกิจการขายสุรา อาหาร และเครื่องดื่มแล้วยังเป็นสถานการค้าประเวณีด้วยคดีมีปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดดังฟ้องหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวจ่าสิบตำรวจชูเกียรติกับสิบตำรวจตรีทรงเดชต่างเบิกความว่า เมื่อจ่าสิบตำรวจชูเกียรติจ่ายเงินค่าตัวหญิงค้าประเวณีให้นายไพโรจน์300 บาทแล้ว จำเลยเป็นคนพาหญิงมาให้จ่าสิบตำรวจชูเกียรติกับพวกเลือก และหญิงที่ไปร่วมประเวณีกับจ่าสิบตำรวจชูเกียรติ สิบตำรวจตรีทรงเดช ต่างก็บอกแก่ตำรวจทั้งสองนายนี้ว่าค่าตัว 100 บาทนั้นจะได้รับ60 บาท อีก 40 บาทแบ่งให้จำเลย นายไพโรจน์ก็เบิกความสนับสนุนคำตำรวจทั้งสองนายนี้ว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งจากการค้าประเวณี 40 บาทและว่าจำเลยจะมาที่ร้านไต้หวันดอกไม้สดเมื่อนายนิวัฒน์ไม่อยู่ ในทำนองมาดูแลกิจการร้านไต้หวันดอกไม้สดแทนนายนิวัฒน์ แม้คำให้การของนายไพโรจน์ในฐานะผู้ต้องหาซึ่งพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องนายไพโรจน์ด้วยก็ให้การทำนองเดียวกับคำเบิกความชั้นศาล ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.8 น่าเชื่อว่านายไพโรจน์เบิกความตามความสัตย์ความจริงไม่ใช่เป็นการซัดทอดหรือใส่ความจำเลยเพื่อให้ตัวเองพ้นความผิด ทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีและดำรงชีพจากรายได้ของหญิงค้าประเวณีที่จำเลยแก้ตัวว่ารับสารภาพเพราะเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าถ้ารับสารภาพจะให้ประกันตัวอยากได้ประกันตัวจึงรับสารภาพก็ดี อ้างว่าที่ไปร้านไต้หวันดอกไม้สดขณะเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมเพื่อไปตามหาบุตรชายก็ดี เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ คำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนใช้ยันจำเลยในชั้นศาลได้ และแม้คำเบิกความของร้อยตำรวจตรีอนันต์ จ่าสิบตำรวจชูเกียรติ สิบตำรวจตรีทรงเดชจะแตกต่างกันในเรื่องจับหญิงค้าประเวณีที่ใด ก็ไม่ใช่สาระสำคัญในคดีนี้ เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ดูแลจัดการสถานการค้าประเวณีที่ร้านไต้หวันดอกไม้สด นับเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีแล้ว

ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 นั้นแม้จะฟังได้ว่าจำเลยซึ่งมีอายุเกิน 16 ปี ได้รับส่วนแบ่งจากการค้าประเวณีของหญิงที่ค้าประเวณี ซึ่งมีค่าตัวครั้งละ 100 บาท และจำเลยได้รับส่วนแบ่ง 40 บาททุกครั้ง แต่จำเลยก็ประกอบอาชีพอื่นอยู่ด้วยคือขายผ้าและน้ำปลาในตลาดเทศบาลเมืองน่านมีรายได้เดือนละห้าพันถึงหกพันบาท แสดงว่าจำเลยมีรายได้จากการค้าขาย และไม่ปรากฏว่ารายได้ดังกล่าวไม่เพียงพอสำหรับดำรงชีพ ถึงจำเลยจะได้รับส่วนแบ่งจากหญิงซึ่งค้าประเวณีก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 286 ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ลงโทษจำคุก 6 เดือนคืนของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share