คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6151/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นคนที่ถูกผู้อื่นหลอกลวงได้ง่ายและพฤติการณ์ในคดีก็ได้ความว่าอาของจำเลยเป็นผู้ใช้ให้จำเลยไปชิงทรัพย์ และอาของจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปทิ้งให้อยู่ในที่เกิดเหตุ จนกระทั่งจำเลยมาชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้วหลบหนีไปเพียงลำพัง โดยอาของจำเลยไม่ได้กลับมาที่เกิดเหตุอีกเลย จำเลยกับอาของจำเลยจึงมิใช่ตัวการร่วมกันชิงทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 83 แต่เป็นกรณีจำเลยชิงทรัพย์ตามที่อาของจำเลยใช้เท่านั้น และตามพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์อันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้น ตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
ปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นชิงทรัพย์และปัญหาว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339, 340 ตรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 340 ตรี ประกอบมาตรา 83 จำเลยมีอายุกว่าสิบห้าปีแต่ต่ำกว่าสิบแปดปีลดมาตราส่วนกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 7 ปี 6 เดือน คำให้การชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี และเห็นว่าขณะกระทำความผิดจำเลยยังเป็นเยาวชนเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัว จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมยังศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดราชบุรี) มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2)
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง มีคนร้าย 1 คน ลักเอาเงินจำนวน 25,230 บาท และถุงผ้าใส่เงิน 1 ใบ ของนางสาววรรณาผู้เสียหายไปโดยใช้ผ้าขาวม้าปิดปากผู้เสียหายจริงตามฟ้อง และในวันเดียวกันนั้น เจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดเงินและถุงผ้าดังกล่าวได้ที่กองไม้เก่าริมรั้วบ้านของนางดวงแขที่คนร้ายนำไปซุกซ่อนไว้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า ขณะที่พยานนั่งอยู่ริมถนนรอนางดวงแข มีจำเลยซึ่งพยานไม่ได้สังเกตว่าเดินมาจากทางใด พยานเห็นจำเลยอยู่ใกล้แล้วจึงลุกขึ้นยืน จำเลยใช้ผ้าขาวม้าปิดปากพยานไม่ให้ร้องขอความช่วยเหลือ พยานพยายามดึงผ้าขาวม้าออกแต่จำเลยดึงพยานเข้าไปริมป่าข้างกองขยะแล้วเอาถุงผ้าใส่เงินซึ่งมีเงินอยู่จำนวน 25,230 บาท กับเอกสารต่างๆ วิ่งหลบหนีไป เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันผู้เสียหายเห็นจำเลยในระยะใกล้ เมื่อจำเลยถูกจับผู้เสียหายก็ชี้ตัวยืนยันจำเลยเป็นคนร้าย นอกจากนี้โจทก์ยังมีดาบตำรวจสิทธิศักดิ์ เบิกความยืนยันว่า พยานได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์วิทยุมีเหตุคนร้ายชิงทรัพย์ พยานไปที่เกิดเหตุพบผู้เสียหาย แจ้งตำหนิรูปพรรณคนร้ายและบอกพยานว่าหากเห็นคนร้ายอีกสามารถจำได้ ผู้เสียหายเล่าเหตุการณ์ที่นางดวงแขขับรถจักรยานยนต์มารับผู้เสียหายไปนวดและเมื่อนวดเสร็จแล้วได้พากลับ เมื่อถึงที่เกิดเหตุนางดวงแขบอกว่ารถจักรยานยนต์ยางรั่วให้ผู้เสียหายนั่งรอจนถูกคนร้ายชิงเอาเงินสดไป ต่อมาพนักงานสอบสวนแจ้งให้พยานไปตามนางดวงแขมาสอบปากคำ นางดวงแขบอกว่าจำเลยเป็นผู้ชิงเอาเงินสดไป พยานจึงไปตามจำเลยมาให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ชิงเอาเงินสดโดยนางดวงแขใช้ จำเลยได้พาไปเอาถุงเงินที่นำไปซ่อนไว้โดยนางดวงแขไปด้วย จำเลยได้หยิบถุงเงินที่ซ่อนไว้ที่กองไม้เก่าริมรั้วหลังบ้านนางดวงแข พยานเปิดดูพบเงินอยู่ในถุงจึงนำมานับที่สถานีตำรวจได้จำนวน 25,230 บาท ความข้อนี้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่โดยมีนางอำพรและนายคำ มาเบิกความสนับสนุนนั้น เห็นว่า นางอำพร เป็นมารดาของจำเลย นายคำเป็นตาของจำเลยย่อมมีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ แต่อย่างไรก็ตามได้ความตามรายงานการสืบเสาะว่าจำเลยมักถูกผู้อื่นหลอกลวงได้ง่ายและตามทางนำสืบได้ความว่า นางดวงแขเป็นอาของจำเลยและเป็นผู้ใช้ให้จำเลยเป็นผู้ชิงทรัพย์ การที่นางดวงแขขับรถจักรยานยนต์ไปคงให้ผู้เสียหายอยู่ในที่เกิดเหตุเพียงลำพังโดยนางดวงแขไม่ได้อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุจนกระทั่งจำเลยมาชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้วได้หลบหนีไปเพียงลำพัง ส่วนนางดวงแขก็มิได้กลับมาที่เกิดเหตุเลย พฤติการณ์ของจำเลยและนางดวงแขเช่นนี้จึงมิใช่เป็นตัวการร่วมกันชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษา แต่เป็นการที่จำเลยกระทำการชิงทรัพย์เพราะถูกนางดวงแขใช้เท่านั้น ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์อันจะเป็นเหตุให้ต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นชิงทรัพย์และปัญหาว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยบางประการ
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 กับ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2548 จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับเกี่ยวกับโทษและวิธีการสำหรับเด็ก ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคหนึ่ง จำเลยอายุสิบห้าปีเศษขณะกระทำความผิด ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ก่อนจับกุมจำเลยให้ถ้อยคำเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 1 ปี 8 เดือน ตามรายงานการสืบเสาะจำเลยอ่อนเยาว์ทางความคิดมักถูกหลอกลวงเสมอเคยต้องหาคดีลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นจำคุก 4 เดือน แต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นฝึกอบรม มารดาไม่สามารถดูแลเอาใจใส่ นอกจากนี้ตามใบความเห็นแพทย์เอกสารอันดับ 6/1 ในสำนวนนี้ระบุว่าจำเลยปัญญาอ่อนคาบเส้นสอดคล้องกับรายงานการสืบเสาะ เห็นสมควรให้จำเลยปฏิบัติตนเป็นคนดี อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมยังศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 2 จังหวัดราชบุรีมีกำหนด 1 ปี คำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

Share