คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1471/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญากู้เงินฉบับพิพาทระบุว่า จำเลยผู้กู้ยอมให้ธนาคารโจทก์ผู้ให้กู้ขึ้นหรือปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยได้ตามความเหมาะสม โดยไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้คิดได้ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์กำหนดในวันที่โจทก์ฟ้องคดี โจทก์อาศัย อำนาจตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและตามประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดเงินสินเชื่อซึ่งระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้มีระยะเวลาเท่ากับร้อยละ 18.00 ต่อปีและอัตราดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีส่วนที่เกินวงเงิน หรือเบิกเงินเกินบัญชีชั่วคราว หรือสินเชื่อที่ผิดเงื่อนไข ตามสัญญาไม่เกินร้อยละ 25.00 ต่อปี ย่อมเห็นได้ว่า หนี้สินเชื่ออื่นนอกจากหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์จะคิดดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 25.00 ต่อปี ได้เฉพาะกรณีลูกหนี้ผิดนัด เท่านั้น หากลูกหนี้ไม่ผิดนัดแล้วถ้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภท เงินกู้มีระยะเวลาซึ่งจำเลยเป็นลูกค้าประเภทดังกล่าวนี้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้สูงสุดเพียงร้อยละ 18.00 ต่อปีดังนี้อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิเรียกสูงขึ้นได้ในกรณีจำเลย ผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขตามสัญญามีลักษณะเป็นค่าเสียหาย ซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ให้สัญญาแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ ว่าจะใช้เงินจำนวนอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว จึงเป็นเบี้ยปรับ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ดังนั้น หากศาลเห็นว่าสูงเกินส่วน ศาลย่อมมี อำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง อัตราร้อยละ 19.50 ต่อปี ซึ่งหมายถึงกำหนดเบี้ยปรับ ให้อัตราดังกล่าวนั้นจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์สาขานครราชสีมาไปจำนวน 1,200,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัวอัตราร้อยละ 19 ต่อปีซึ่งในวันทำสัญญาดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี และโจทก์ปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่โจทก์จะเห็นสมควร แต่ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละงวด งวดละไม่น้อยกว่า 15,400 บาทงวดแรกชำระภายในวันที่ 27 ตุลาคม 2539 และต้องชำระให้แล้วเสร็จภายใน 240 เดือน ในวันเดียวกันจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 110870 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ดังกล่าวอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี หรืออัตราสูงสุดตามที่โจทก์กำหนดมีข้อตกลงว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ยอมให้โจทก์บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้จนครบจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด คำนวณถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระต้นเงินจำนวน 1,195,136.16 บาท และดอกเบี้ยจำนวน158,315.98 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 1,353,452.14 บาทโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,353,452.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,195,136.16 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,353,452.14 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน1,195,136.16 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 110870 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอใจให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี ที่โจทก์คิดเอากับจำเลยเป็นเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่าตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2จำเลยยอมให้โจทก์ขึ้นหรือปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยได้ตามความเหมาะสมโดยไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้คิดได้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์กำหนดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2541 โดยอาศัยอำนาจตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและ ตามประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดเงินสินเชื่อ เอกสารหมาย จ.14 ข้อ 2 ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้มีระยะเวลาเท่ากับร้อยละ 18.00 ต่อปีและข้อ 6 ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีส่วนที่เกินวงเงิน หรือเบิกเงินเกินบัญชีชั่วคราว หรือสินเชื่อที่ผิดเงื่อนไขตามสัญญาไม่เกินร้อยละ 25.00 ต่อปีเห็นได้ว่า หนี้สินเชื่ออื่นนอกจากหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์จะคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25.00 ต่อปี ได้เฉพาะกรณีลูกหนี้ผิดนัดเท่านั้น หากลูกหนี้ไม่ผิดนัดแล้วถ้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้มีระยะเวลา ซึ่งจำเลยเป็นลูกค้าประเภทดังกล่าวนี้ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้สูงสุดเพียงร้อยละ 18.00 ต่อปี ส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิเรียกสูงขึ้นได้ในกรณีจำเลยผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขตามสัญญาจึงมีลักษณะเป็นค่าเสียหายซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ให้สัญญาแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ดังนั้น หากศาลเห็นว่าสูงเกินส่วน ศาลย่อมมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องอัตราร้อยละ 19.50 ต่อปี หมายถึงกำหนดเบี้ยปรับให้อัตราดังกล่าวนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share