แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ดังนี้ เงินของกลางจำนวน 200 บาท จึงไม่อาจเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยทั้งสองได้มาโดยการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย กรณีจึงไม่อาจริบเงินของกลางดังกล่าวได้ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 135 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้เสพเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์โดยฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายและธนบัตรฉบับต่าง ๆ เป็นเงิน 200 บาท ที่จำเลยทั้งสองได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91 และ 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 83 และ 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและเงินของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน แต่ให้การปฏิเสธข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง และ 91 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คงจำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57 และ 91 จำคุก 1ปีและปรับ 10,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อพิจารณาถึงความผิดแล้วไม่ร้ายแรงมากนัก เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 2 กลับตัวเป็นพลเมืองดีไม่หันกลับไปเสพยาเสพติดให้โทษอีกจึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ มีกำหนด 2 ปี หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 ริบเมทแอมเฟตามีนและเงินของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การเข้าจับของเจ้าพนักงานตำรวจสืบเนื่องมาจากการสืบทราบว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีการมั่วสุมเสพยาเสพติดให้โทษ ขณะเข้าไปซุ่มดูก่อนจับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร้อยตำรวจเอกชัยรัตน์และสิบตำรวจโทวีระพนธ์พบเห็นแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เสพยาเสพติดให้โทษกันอยู่ โดยไม่มีข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 จำหน่ายยาเสพติดให้โทษแก่ผู้ใดบ้าง และขณะเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งสองอยู่ในอาการเมายาเสพติดให้โทษ หลังจากจับจำเลยทั้งสองแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจก็ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปตรวจหาสารเสพติดซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 น่าจะเป็นเพียงผู้มามั่วสุมเสพยาเสพติดให้โทษเท่านั้น สิบตำรวจโทวีระพนธ์ก็เบิกความตอบทนายความจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า ขณะเข้าทำการจับกุมพบอุปกรณ์การเสพยาบ้าที่สิบตำรวจโทวีระพันธ์เบิกความว่าขณะซุ่มดูอยู่พบเห็นชาย 2 คน เดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยทั้งสองและส่งสิ่งของให้แก่กัน ก็ไม่ได้ความชัดว่าส่งอะไรแก่กัน ทั้งมิได้จับชาย 2 คนดังกล่าว ส่วนที่ร้อยตำรวจเอกชัยรัตน์จับนายสรายุทธ ในภายหลังและเบิกความตอบโจทก์ว่า ได้สอบถามนายสรายุทธแล้วได้ความว่านายสรายุทธจะมาซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 แต่กลับเบิกความตอบทนายความจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าพยานไม่ได้สอบข้อเท็จจริงว่านายสรายุทธซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้ใดไว้เป็นหลักฐาน นายสรายุทธก็มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานไม่เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ร้อยตำรวจเอกชัยรัตน์พยานโจทก์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านเจือสมกับข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ว่าช่วงเวลาที่พยานโจทก์เข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งสอง มีชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่คันสวนอีกฝั่งหนึ่งของสะพานข้ามร่องสวนใกล้เพิงพักที่เกิดเหตุได้วิ่งหนีไปซึ่งชายคนดังกล่าวเป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 นำสืบอ้างว่าเป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีนซึ่งบอกให้ผู้ซื้อไปหยิบเมทแอมเฟตามีนเอาเองที่เพิงพักที่เกิดเหตุ แล้ววางเงินไว้ที่เพิงพักนั้น ชายคนขายก็จะเข้ามาเก็บเงินไป ซึ่งมีเหตุผลที่เป็นไปได้ดังจำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธตลอดมาในความผิดฐานนี้ โดยรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีเหตุให้สงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นพยานหลักฐานของโจทก์คงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามสำนวนว่าขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 มีอายุเพียง 19 ปีเศษ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนสภาพความผิดที่จำเลยที่ 1 กระทำดังกล่าวไม่ร้ายแรงมากนัก เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับตนเป็นพลเมืองดีไม่หันกลับไปเสพยาเสพติดให้โทษอีก จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ริบเงินจำนวน 200 บาท ที่จำเลยทั้งสองได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางนั้นปรากฏว่าโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังนี้ เงินจำนวน 200 บาท ของกลางดังกล่าวจึงไม่อาจเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยทั้งสองได้มาโดยการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ได้ ทั้งโจทก์มิได้มีคำขอให้ริบเงินจำนวนดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 (2) ด้วย กรณีจึงไม่อาจริบเงินของกลางดังกล่าวได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย สำหรับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน 6 เดือน ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้ยกคำขอให้ริบเงินของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1