แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทย์ฟ้องจำเลย 3 คน ปรากฏว่าศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ ส่วนคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อจำต้องอาศัยผลของข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ก่อน แต่โจทก์ดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 โดยไม่ถูกต้องดังกล่าวข้างต้น คดีที่โจทย์ฟ้องจำเลยที่ 3 ร่วมเข้ามา จึงไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาเช่นเดียวกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับก่อสร้างตึกแถวให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน ๔ คูหา โดยจำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ตกลงมอบการครอบครองตึกแถว ๓ คูหาให้โจทก์เรียกเก็บเงินค่าช่วยก่อสร้างจากผู้เช่าเป็นการทดแทนค่าจ้างส่วนอีก ๑ คูหาโจทก์ยกให้จำเลย ไม่เรียกค่าจ้างระหว่างที่โจทก์ครอบครองตึกแถวอยู่นั้นจำเลยทั้งสองถูกฟ้องล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศขายทอดตลาดตึกแถวทั้ง ๔ คูหานั้น โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขายฝากจำเลยที่ ๓ ไว้ และยอมให้จำเลยที่ ๓ จัดหาผู้อื่นเช่าและเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่า ปรากฏว่ามีบุคคลเข้าอยู่อาศัยในตึกแถวดังกล่าว โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๑, ๒ และ ๓ เป็นการแย่งการครอบครองหรือยึดครองของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้รับทราบสิทธิของโจทก์ไว้แล้ว ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิยึดหน่วงตึกแถวรายพิพาท ๓ คูหา ให้จำเลยคืนการยึดครองหรือครอบครองตึกแถวดังกล่าวให้โจทก์ดำเนินการตามสัญญาก่อสร้างตึกแถว ให้จำเลยนำบุคคลที่อยู่อาศัยในตึกแถวพิพาทออกไปและห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องว่า โจทย์ฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลล้มละลายให้รับผิดเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย จึงต้องห้ามตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ แม้จะฟ้องจำเลยที่ ๓ ให้ร่วมรับผิดด้วย แต่ทรัพย์สินตามฟ้องได้ขายฝากให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยชอบ แม้จะฟังว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเก็บค่าก่อสร้างและให้เช่าได้ สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องให้บังคับ ทั้งโจทก์มิได้ยึดหน่วงทรัพย์รายนี้ไว้ ฟ้องโจทก์ไม่มีทางบังคับตามขอ ไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามฟ้องว่าศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัยย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในคดีนี้ได้ ส่วนคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ นั้น จำต้องอาศัยผลของข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ก่อน แต่โจทก์ดำเนินคดีต่อจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ โดยไม่ถูกต้องดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น คดีของโจทก์ที่ฟ้องจำเลยที่ ๓ ร่วมเข้ามา จึงไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน.