แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญากับจำเลยให้โจทก์ประกันตัว ส.ซึ่งถูกดำเนินคดีอาญาต่อศาล โดยจำเลยมีหน้าที่นำส่งตัว ส.ต่อศาลตามนัด หากผิดสัญญาไม่นำตัว ส.ส่งศาลจำเลยยินยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งสัญญาดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ไม่ขัดต่อกฎหมายความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เพราะสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องบังคับจำเลยมิได้ปิดอากรแสตมป์นั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ สัญญาที่จำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะนำตัว ส.ซึ่งโจทก์เป็นผู้ประกันตัวมาพบเจ้าพนักงานตามกำหนดนัดทุกครั้ง ไม่ใช่สัญญาค้ำประกัน เพราะจำเลยเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่จะต้องกระทำการตามสัญญาดังกล่าว จึงไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ เมื่อจำเลยผิดสัญญาจนศาลสั่งปรับโจทก์และมีการบังคับคดียึดทรัพย์โจทก์แล้วแม้จะยังไม่มีการนำทรัพย์ที่ยึดออกขายทอดตลาด โจทก์ก็มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาเป็นกรณีที่โจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาลโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากับโจทก์โดยให้โจทก์นำหลักทรัพย์ยื่นขอประกันตัวนายสมพล วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา และถูกควบคุมตัวอยู่ตามหมายของศาลจังหวัดนครราชสีมา มีกำหนดเวลาในการประกันไม่เกิน 4 เดือน ก่อนจะครบกำหนดสัญญาจำเลยจะนำตัวนายสมพลมามอบให้โจทก์ และหาหลักทรัพย์อื่นมายื่นขอประกันแทนเมื่อนายสมพลได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว จำเลยจะนำตัวนายสมพลมาศาลตามกำหนดนัดของศาลทุกครั้ง หากจำเลยผิดสัญญายินยอมชดใช้เงินให้โจทก์จำนวน 124,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดสัญญา โจทก์นำหลักทรัพย์มายื่นขอประกันตัวนายสมพลต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว กำหนดนัดสืบพยานและให้ส่งตัวนายสมพลในวันนัดครบกำหนดจำเลยไม่นำตัวนายสมพลส่งศาลเป็นเหตุให้ศาลปรับโจทก์ตามสัญญาประกัน แล้วศาลเลื่อนการสืบพยานออกไป โจทก์แจ้งให้จำเลยนำนายสมพลมาศาลในวันนัดอีก จำเลยเพิกเฉย ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์โจทก์ออกขายทอดตลาด โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 124,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา
จำเลยให้การว่า โจทก์คิดค่าจ้างประกันตัวนายสมพลจากภรรยานายสมพล แต่ไม่อาจประกันตัวนายสมพลได้ในวันนั้น จึงตกลงยกเลิกสัญญากันสัญญาตามฟ้องเป็นโมฆะ โจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหายเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดียังไม่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชดใช้เงินให้โจทก์ 124,600 บาทและดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้รับจ้างประกันตัวนายสมพล แล้ววินิจฉัยว่าการที่โจทก์รับประกันตัวนายสมพลแต่ไม่แน่ว่านายสมพลจะหลบหนีหรือไม่จึงให้จำเลยที่คุ้นเคยกับฝ่ายนายสมพลทำสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์ประกันตัวนายสมพล โดยจำเลยมีหน้าที่นำส่งตัวนายสมพลต่อศาลตามนัดหากผิดสัญญาไม่นำตัวนายสมพลส่งศาล จำเลยยินยอมชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 124,600 บาท เช่นนี้มีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีไม่ชัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ฯลฯ
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่า สัญญาเอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญาค้ำประกันเมื่อมิได้ปิดอากรแสตมป์จึงนำมาเป็นหลักฐานในคดีแพ่งฟ้องบังคับจำเลยไม่ได้ และโจทก์ยังมิได้รับความเสียหายเพราะยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ถูกยึดไว้ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าในปัญหาที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.1 มิได้ปิดอากรแสตมป์นั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์สัญญาให้ประกันตัวจำเลยหรือผู้ต้องห้า เอกสารหมาย จ.1 แล้ว เห็นว่า เป็นสัญญาที่จำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะนำตัวนายสมพลซึ่งโจทก์เป็นผู้ประกันตัวมาพบเจ้าพนักงานตามกำหนดนัดทุกครั้ง จำเลยจึงเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่จะต้องกระทำการตามสัญญาดังกล่าว เป็นการชำระหนี้ต่อโจทก์สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกยอมผูกพันตนกับเจ้าหน้าที่เพื่อชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามที่จำเลยอ้างเมื่อปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญา จนศาลสั่งปรับโจทก์และมีการบังคับคดียึดทรัพย์โจทก์แล้ว แม้จะยังไม่มีการนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดโจทก์ก็มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินจำนวน 124,600 บาทตามสัญญา อันเป็นกรณีโจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาลโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
พิพากษายืน