คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องจำเลยทั้งสาม ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 คงรับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3โจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าจึงได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ต่อมาโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 คดีถึงที่สุดไปแล้ว แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดไว้พิจารณาตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ก็ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้กระทบสิทธิโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าแต่อย่างใด โจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้า แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 35วรรคหนึ่ง จะบัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพื้นที่ตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าฟ้องยังไม่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. 2535 มาตรา 43 ทั้งโจทก์ทั้งเจ็ดก็ยอมรับว่าพื้นที่ตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มิใช่เป็นที่สาธารณะการที่โจทก์ทั้งเจ็ดมีความประสงค์จะให้ทางราชการกำหนดพื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยไม่ต้องการให้มีการปลูกอาคารใด ๆ ลงบนพื้นที่ รวมทั้งต้องการให้กำหนดมาตรการจำกัดการใช้พื้นที่ดังกล่าวนั้นย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยละเมิดสิทธิของบุคคลในทรัพย์สินเป็นคำขอที่ไม่อาจบังคับให้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพื้นที่ใดจะกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะพิจารณาเห็นสมควรโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติสิ่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และพื้นที่ตามฟ้อง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะประกาศเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตาม มาตรา 43 และมาตรา 45แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. 2535 โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 หรือบังคับนายกรัฐมนตรีจำเลยที่ 1 เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเพิกถอนมติหรือขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 หยุดหรือระงับการก่อสร้างอาคารมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้จึงชอบแล้ว สิทธิและหน้าที่ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 58 สิทธิในการมีอากาศสะอาดบริสุทธิ์หายใจเพื่อสุขภาพ พลานามัย และคุณภาพชีวิตที่ดี สิทธิในการได้รับความรื่นรมย์ตามธรรมชาติของพื้นที่ตามฟ้อง สิทธิที่จะปลอดจากความเสียหายและเดือนร้อนอันเกิดจากปัญหาน้ำท่วมชุมชนในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ตามฟ้อง และสิทธิที่จะปลอดจากเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเกิดจากปัญหาการจราจรติดขัดปัญหามลพิษทางอากาศปัญหาความร้อนที่ระบายจากตึกอาคารสูง ล้วนเป็นสิทธิตามปกติธรรมดาของคนทั่วไปซึ่งมีสิทธิได้รับตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นสิทธิที่โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ นายกรัฐมนตรีจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยตำแหน่งระเบียบราชการจะต้องมีหน่วยงานพิจารณากลั่นกรองเรื่องราวและเสนอความเห็นตามลำดับขั้นตอนสำนักงานนโบายและแผนสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมจำเลยที่ 2 มีหน้าที่โดยตรงที่จะเสนอเรื่องราวต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอยู่แล้ว เมื่อสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้เสนอคำร้องเรียนของโจทก์ที่ 1 ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและจำเลยที่ 1 เพื่อพิจารณา จำเลยที่ 1 จึงยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดแต่อย่างใด ศาลจึงไม่อาจรับฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ตามคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนดให้พื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมได้ สำหรับคดีระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดกับจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รับฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ตอนต้นและข้อ 5 ไว้พิจารณาแล้ว ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ต่อไป ในระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตต่อมาในวันนัดชี้สองสถานโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 โดยไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 อีกต่อไป ทั้งยังได้ระบุไว้ท้ายคำร้องขอถอนฟ้องด้วยว่าการถอนฟ้องนี้เป็นการถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งคดีกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้นคดีของโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงถึงที่สุดก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ไว้พิจารณา ทั้งตามคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดตอนท้ายที่อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับและยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 รวมทั้งยกคำขอบังคับท้ายฟ้องข้อ 1 ข้อ 2 ตอนต้น ข้อ 3และข้อ 4 เสีย และมีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดรวมทั้งคำขอบังคับท้ายฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไปและบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งเจ็ดด้วยเห็นได้ชัดแจ้งว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ได้มีคำขอหรือมีความประสงค์ที่จะให้ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งของศาลชั้นต้นให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ 4ไว้พิจารณา จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ด ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อคดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดไปตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้วและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวแก่จำเลยที่ 2 ไม่ชอบ จึงมีผลทำให้จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกา สิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดในการรับทราบข้อมูลและข่าวสารจะมีเพียงใดจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 หรือตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าสิทธิดังกล่าวนั้นมีข้อจำกัดอย่างไรและจะส่งข้อมูลข่าวสารอย่างไร เพื่อร่วมกันส่งเสริมและรักษาคุณภาพ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 ประกอบเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ “(1) ส่งเสริมประชาชนและองค์กรเอกชนให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม”ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534มาตรา 48 ทวิ ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลหรือข่าวสารจากหน่วยราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพื่อการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการหรือพนักงานรัฐ ในเมื่อการนั้นมีหรืออาจจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของตน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ดังนี้เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดได้ขอทราบข้อมูลและข่าวสารตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ 4 จากกรมสรรพากรจำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 3 ไม่ให้ความร่วมมือและไม่แจ้งเหตุขัดข้องว่าเป็นข้อมูลหรือข่าวสารที่ถือว่าเป็นความลับเกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงแห่งชาติหรือเข้าข้อยกเว้นข้ออื่นที่ไม่ต้องเปิดเผยแต่อย่างใดจึงเป็นการกระทบสิทธิโจทก์ทั้งเจ็ดแล้วโจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องและดำเนินคดีแทน โจทก์ที่ 1 เป็นผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อมประเทศไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยการให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายแก่สาธารณชน และกลุ่มองค์กรเอกชนที่มีกิจกรรมทางด้านสิ่งแวดล้อมโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยในบริเวณชุมชนซอยพหลโยธิน 5 (ซอยราชครู) ชุมชนซอยพหลโยธิน 7 (ซอยอารีย์)ชุมชนซอยพหลโยธิน 11 (ซอยเรวดี) ถนนพหลโยธิน และชุมชนหมู่บ้านพิบูลวัฒนา ชุมชนซอยอารีย์สัมพันธ์ ชุมชนซอยศาสนาถนนพระรามที่ 6 ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อต่อเนื่องและใกล้เคียงกับบริเวณที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งเสาอากาศวิทยุกระจายเสียงของกรมประชาสัมพันธ์มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 109 ไร่(“พื้นที่ตามฟ้อง”) จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลไทย(คณะรัฐมนตรี) มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวงและเป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยตำแหน่ง ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของชาติและเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ร่วมกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมและเป็นรองประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของชาติ และเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. 2535 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ก่อสร้างอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 3และกรมประชาสัมพันธ์แทนอาคารเดิมที่ถูกเพลิงไหม้จนชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้ในพื้นที่ตามฟ้อง ซึ่งเป็นบริเวณที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2532 ให้สงวนพื้นที่ลุ่ม บึง สระและแหล่งน้ำซึ่งมีอยู่ในพื้นที่ตามฟ้องไว้สำหรับเป็นพื้นที่รองรับน้ำและเก็บกักน้ำฝนเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ในบริเวณซอยพหลโยธิน 7 (ซอยอารีย์) และบริเวณพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อต่อเนื่องใกล้เคียง ซึ่งเป็นชุมชนที่โจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามฟ้อง อันเป็นพื้นที่โล่งและเป็นพื้นที่สีเขียว การที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535อนุมัติให้จำเลยที่ 3 และกรมประชาสัมพันธ์ก่อสร้างอาคารที่ทำการซึ่งเป็นอาคารสูงเกินกว่าสิบชั้นขึ้นไปหลายหลังในพื้นที่ตามฟ้องซึ่งจะทำให้สภาพอากาศในพื้นที่ดังกล่าวและบริเวณชุมชนใกล้เคียงเสื่อมเสียและด้อยคุณภาพลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากปัญหามลพิษที่จะเกิดขึ้นติดตามมา จึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการโต้แย้งและละเมิดสิทธิสาธารณะของโจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณชุมชนใกล้เคียงและยังเป็นการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2532 ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ตามฟ้องแห่งนี้จึงมีระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ค่อนข้างสมบูรณ์ตามหลักวิชาการจำแนกพื้นที่คุ้มครองของกรมป่าไม้ที่มีลักษณะแตกต่างจากพื้นที่อื่นโดยทั่วไปในกรุงเทพมหานคร และเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรและคุณค่าทางธรรมชาติอันควรแก่การอนุรักษ์ ซึ่งสมควรได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามนัยมาตรา 43 และ 44 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535เพื่อสงวนไว้สำหรับการใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 การเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสภาพดั้งเดิมของพื้นที่ตามฟ้อง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างอาคารที่ทำการของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 จึงเป็นการโต้แย้งและละเมิดสิทธิสาธารณะของโจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนพลเมืองทุกคนในการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิสาธารณะในการใช้ประโยชน์ร่วมกันเช่นว่านั้นไว้แล้วโดยชัดแจ้ง การก่อสร้างอาคารดังกล่าวจะก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญจากปัญหาการจราจรติดขัดการเกิดมลพิษทางอากาศเสียง ฝุ่น ควัน อันมีสาเหตุจากยานพาหนะและการก่อสร้างอาคารที่ทำการ จากความร้อนที่ระบายออกจากตึกสูงและเครื่องปรับอากาศของอาคารที่ทำการ จึงเป็นการจงใจทำให้เกิดความเสียหายและทำลายคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ตามฟ้องอันเป็นการโต้แย้งและละเมิดสิทธิสาธารณะของโจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณชุมชนต่อเนื่องใกล้เคียงและเป็นการก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญที่ทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนในบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงได้ทราบข่าวว่าจะมีการก่อสร้างตึกอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 3 ของกรมประชาสัมพันธ์และของหน่วยราชการอื่นในพื้นที่ตามฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนในบริเวณชุมชนต่อเนื่องใกล้เคียงร่วมกันเข้าชื่อร้องเรียนไปยังจำเลยที่ 3 และหน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้องได้แก่กรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร กรมป่าไม้ สำนักงานทรัพย์สินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรมธนารักษ์ และคณะกรรมการจัดสถานที่ราชการและเมืองใหม่เพื่อขอให้พิจารณาระงับการก่อสร้างอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 3 และของหน่วยงานอื่น ๆของทางราชการดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ขอทราบข้อมูลและข่าวสารโดยละเอียดเกี่ยวกับแบบแปลนแผนผังและการจัดพื้นที่สำหรับการก่อสร้างอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 3 และหน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับรายละเอียดของแบบแปลนแผนผังการก่อสร้างอาคารที่ทำการและการจัดพื้นที่แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเท่าที่ควร และจำเลยที่ 3 ก็มิได้พิจารณาระงับการก่อสร้างอาคารที่ทำการของตนตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนขอแต่อย่างใด และโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อมประเทศไทยและตัวแทนของโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 รวมทั้งประชาชนที่เกี่ยวข้องยังได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ขอให้พิจารณาดำเนินการเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนดให้พื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 43 และ 44 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 แต่ปรากฏว่าสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมและจำเลยที่ 2 มิได้พิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ตามที่โจทก์ที่ 1 ร้องขอและมิได้ให้ข้อมูลและข่าวสารในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนอย่างเพียงพอแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการปฏิเสธสิทธิในการรับรู้ข้อมูลและข่าวสารของโจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนที่จะพึงมีตามมาตรา 6(1) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โจทก์ที่ 1 จึงได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 16 ธันวาคม 2536 ถึงจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อขอให้จำเลยที่ 1 พิจารณาทบทวนและดำเนินการให้มีการเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 และพิจารณานำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ประกาศกำหนดพื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 แต่จำเลยที่ 1มิได้พิจารณานำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่อย่างใด จึงเป็นการกระทำและละเว้นการกระทำอันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายและเสียหายแก่คุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่มีอยู่ในพื้นที่ตามฟ้องตามนัยมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และเป็นการกระทำละเมิดและก่อให้เกิดเหตุเดือนร้อนรำคาญ อันเป็นการโต้แย้งขัดขวางสิทธิสาธารณะของโจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชนในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งมีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามฟ้องร่วมกัน และเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ข้อ 1 เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10กันยายน 2535 หรือบังคับให้จำเลยที่ 1 นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้พิจารณาเพิกถอนมติดังกล่าว ข้อ 2 บังคับจำเลยที่ 2และที่ 2 ให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนดให้พื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 43 และ 44 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยมีข้อห้ามหรือข้อกำหนดให้ระงับการก่อสร้างอาคารของจำเลยที่ 3 รวมทั้งของหน่วยราชการอื่นที่อาจจะมีต่อไปในภายหน้า ข้อ 3 บังคับจำเลยที่ 3 ให้หยุดและระงับการดำเนินการในการขุด กลบ ถม ปรับสภาพพื้นที่ตามฟ้องและระงับการก่อสร้างอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 3 และข้อ 4 บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้แจ้งข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ ในรายละเอียดแก่โจทก์ทั้งเจ็ดและประชาชน คือ 4.1 รายงานการประชุมและมติคณะกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองหลัก ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องนี้ 4.2 รายละเอียดเกี่ยวกับแบบแปลนแผนผัง การจัดพื้นที่และแผนงานที่ดำเนินการ อันเนื่องจากการก่อสร้างอาคารที่ทำการของจำเลยที่ 3 รวมทั้งแผนงานเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งที่เป็นปัญหาการจราจร การรักษาสภาพแวดล้อม การป้องกันและควบคุมมลพิษ การกำจัดของเสียและขยะมูลฝอย การป้องกันน้ำท่วม การพังทลายของชั้นดินเป็นต้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า พื้นที่ตามฟ้องยังไม่มีกฎกระทรวงกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. 2535 มาตรา 43 และตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11 โจทก์ที่ 1ยอมรับข้อเท็จจริงว่าพื้นที่ตามฟ้องอยู่ในความดูแลรับผิดชอบและเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน รัฐก็อาจเปลี่ยนสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะได้ ดังนั้นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 10 กันยายน 2535 จึงมิได้ขัดหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่มีเหตุต้องบังคับตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 และข้อ 3สำหรับคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ข้อเท็จจริงตามฟ้องปรากฏว่าสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับดูแลและบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 เพิกเฉยไม่นำคำร้องเรียนของโจทก์ที่ 1 เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณากำหนดพื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่ต้องเสนอคำร้องเรียนของโจทก์ที่ 1 ตามฟ้องหรือไม่และจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชอบหรือไม่ เป็นปัญหาที่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยตำแหน่งมีอำนาจกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้เสนอคำร้องเรียนของโจทก์ที่ 1 ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณา คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและจำเลยที่ 1จึงยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดแต่อย่างใด ส่วนคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ตอนท้ายเรื่องรายละเอียดในการนำเสนอคำร้องเรียนของโจทก์ที่ 1 ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่โจทก์ทั้งเจ็ดขอให้ศาลบังคับด้วยนั้นเป็นความเห็นของฝ่ายบริหารประกอบการนำเสนอศาลไม่บังคับให้ ส่วนคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 แม้โจทก์ทั้งเจ็ดอ้างสิทธิได้รับทราบข้อมูลและข่าวสารจากทางราชการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535มาตรา 6(1) แต่ไม่ปรากฏว่าพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นว่าด้วยการนั้นบัญญัติไว้ว่ารัฐมีหน้าที่ต่อสิทธิดังกล่าวอย่างไรนอกจากนั้นตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4.1 และ 4.2 รายงานการประชุมและมติคณะกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองหลักของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องนี้กับรายละเอียดต่าง ๆ มิได้อยู่ในความหมายของข้อมูลและข่าวสารที่ทางราชการต้องเปิดเผยพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 คงรับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 เฉพาะคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ตอนต้นและข้อ 5
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ โดยถือเอาคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าศาลชั้นต้นอนุญาต
ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
คดีในส่วนที่โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ไว้พิจารณา นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกต้องวินิจฉัยว่า โจทก์รวมทั้งยี่สิบเก้ามีสิทธิฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ ตอนที่โจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นศาลชั้นต้นพิพากษาคดีระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 1กับที่ 3 ไปแล้ว ต่อมาระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2คดีถึงที่สุดไปแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดไว้พิจารณา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้กระทบสิทธิโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าแต่อย่างใด โจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้า
ปัญหาต่อไปเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดก่อนโจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 เพราะไม่ปรากฏว่ามติดังกล่าวขัดต่อกฎหมายใดนั้น เป็นการไม่ชอบ เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าพื้นที่ตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าฟ้องยังไม่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 43 ทั้งโจทก์ทั้งเจ็ดก็ยอมรับว่าพื้นที่ตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มิใช่เป็นที่สาธารณะ การที่โจทก์ทั้งเจ็ดมีความประสงค์จะให้ทางราชการกำหนดพื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยไม่ต้องการให้มีการปลูกอาคารใด ๆ ลงบนพื้นที่รวมทั้งต้องการให้กำหนดมาตรการจำกัดการใช้พื้นที่ดังกล่าวนั้นย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยละเมิดสิทธิของบุคคลในทรัพย์สินเป็นคำขอที่ไม่อาจบังคับให้ได้ ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพื้นที่ใดจะกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะพิจารณาเห็นสมควรโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และพื้นที่ตามฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่6/2537 วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม 2537 ข้อ 5.3 ว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะประกาศเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 43 และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่10 กันยายน 2535 หรือบังคับจำเลยที่ 1 เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเพิกถอนมติหรือขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 หยุดหรือระงับการก่อสร้างอาคารตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้จึงชอบแล้วส่วนที่โจทก์ทั้งเจ็ดอ้างว่ามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10กันยายน 2535 ขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2532นั้น เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 เป็นการอนุมัติให้ทำการก่อสร้างอาคารแทนอาคารเดิมที่ถูกเพลิงไหม้จนใช้การไม่ได้ โดยไม่ปรากฏว่ามติดังกล่าวขัดต่อกฎหมายใดตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างในฎีกา คณะรัฐมนตรีย่อมมีอำนาจลงมติดังกล่าวได้โดยชอบ อนึ่ง แม้จะปรากฏว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมจะเคยมีหนังสือด่วนที่สุดที่ ว.0805/6724ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2536 ให้ข้อคิดเห็นต่อคณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณาในเรื่องการใช้ที่ดินในความครอบครองของกรมประชาสัมพันธ์ว่าควรสงวนพื้นที่บางส่วนไว้เป็นพื้นที่สีเขียว และบางส่วนไว้สำหรับเป็นพื้นที่ริมน้ำ แต่ก็ปรากฏว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมได้ถอนเรื่องคืนไปในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 โดยเสนอว่าขณะนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปและคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติอนุมัติให้ถอนเรื่องไปได้ตามเสนอ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาตามข้อเสนอดังกล่าวแต่อย่างใด
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาข้อต่อไปว่า การกระทำและละเว้นการกระทำของจำเลยทั้งสามตามคำฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นการโต้แย้งและละเมิดสิทธิและหน้าที่สาธารณะโดยมิชอบ ทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษแล้วนั้น เห็นว่าสิทธิต่าง ๆ ตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างมาในฎีกา เช่น สิทธิและหน้าที่ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2534 มาตรา 58 สิทธิในการมีอากาศสะอาดบริสุทธิ์ หายใจเพื่อสุขภาพพลานามัยและคุณภาพชีวิตที่ดี สิทธิในการรับความรื่นรมย์ตามธรรมชาติของพื้นที่ตามฟ้อง สิทธิที่จะปลอดจากความเสียหายและเดือดร้อนอันเกิดจากปัญหาน้ำท่วมชุมชนในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ตามฟ้อง และสิทธิที่จะปลอดจากเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเกิดจากปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหามลพิษทางอากาศ ปัญหาความร้อนที่ระบายจากตึกอาคารสูง ล้วนเป็นสิทธิตามปกติธรรมดาของคนทั่วไปซึ่งมีสิทธิได้รับตามที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้วจึงไม่ใช่เป็นสิทธิที่โจทก์ทั้งเจ็ดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้
ส่วนที่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ควรรับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับจำเลยที่ 1 ให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนดให้พื้นที่ตามฟ้องเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยตำแหน่งตามระเบียบราชการจะต้องมีหน่วยงานพิจารณากลั่นกรองเรื่องราวและเสนอความเห็นตามลำดับขั้นตอน สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่โดยตรงที่จะเสนอเรื่องราวต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอยู่แล้ว เมื่อสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้เสนอคำร้องเรียนของโจทก์ที่ 1ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและจำเลยที่ 1 เพื่อพิจารณาจำเลยที่ 1 จึงยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดแต่อย่างใด
ต่อไปวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ฎีกาข้อแรกว่าคดีของโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดไปแล้วทั้งอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดก็ไม่มีความประสงค์จะให้ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้รับฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาจึงเป็นการไม่ชอบนั้นเห็นว่า สำหรับคดีระหว่างโจทก์ทั้งเจ็ดกับจำเลยที่ 2 นั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รับฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ตอนต้นและข้อ 5 ไว้พิจารณาแล้ว ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ต่อไปในระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตต่อมาในวันนัดชี้สองสถานโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 โดยไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 อีกต่อไป ทั้งยังได้ระบุไว้ท้ายคำร้องขอถอนฟ้องด้วยว่าการถอนฟ้องนี้เป็นการถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งคดีกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้นคดีของโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงถึงที่สุดก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดและโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ไว้พิจารณา ทั้งตามคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2537 หน้า 16 ตอนท้าย ที่อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับและยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 รวมทั้งยกคำขอบังคับท้ายฟ้องข้อ 1 ข้อ 2 ตอนต้น ข้อ 3 และข้อ 4 เสีย และมีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ด รวมทั้งคำขอบังคับท้ายฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาตามรูปคดีต่อไปและบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งเจ็ดด้วยซึ่งเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ได้มีคำขอหรือมีความประสงค์ที่จะให้ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งของศาลชั้นต้นให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ 4 ไว้พิจารณาจึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อคดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดไปตั้งแต่ศาลชั้นต้นแล้ว และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวแก่จำเลยที่ 2 ไม่ชอบจึงมีผลทำให้จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 2
ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 3 ข้อต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 ชอบหรือไม่ เห็นว่า สิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ดในการรับทราบข้อมูลและข่าวสารจะมีเพียงใดจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 หรือตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า สิทธิดังกล่าวนั้นมีข้อจำกัดอย่างไร และจะส่งข้อมูลและข่าวสารอย่างไรเพื่อร่วมกันส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศชาติเมื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 เพื่อประโยชน์ในการร่วมกันส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของชาติ บุคคลอาจมีสิทธิและหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) การได้รับทราบข้อมูลและข่าวสารจากทางราชการในเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เว้นแต่”ประกอบเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ”(1) ส่งเสริมประชาชนและองค์กรเอกชนให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม” ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 48 ทวิ “บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลหรือข่าวสารจากหน่วยราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพื่อการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ ในเมื่อการนั้นมีหรืออาจจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของตน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” คดีนี้ปรากฏว่าเมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดได้ขอทราบข้อมูลและข่าวสารตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ 4 จากจำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 3 ไม่ให้ความร่วมมือและไม่แจ้งเหตุขัดข้องว่าเป็นข้อมูลหรือข่าวสารที่ถือว่าเป็นความลับเกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงแห่งชาติหรือเข้าข้อยกเว้นข้ออื่นที่ไม่ต้องเปิดเผยแต่อย่างใดจึงเป็นการกระทบสิทธิโจทก์ทั้งเจ็ดแล้ว โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งยี่สิบเก้าและฎีกาของจำเลยที่ 2 และพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share