คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังยักยอกเงินศาสนสมบัติจากอำเภอไชยา และอำเภอพระแสงหลายครั้งรวมเป็นเงิน 52,922 บาท 55 สตางค์ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคดีถึงที่สุดไปแล้วส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยว่าทุจริตเบียดบังเงินศาสนสมบัติสำหรับซ่อมแซมพระอุโบสถวัดน้ำหัก อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดเดียวกันไปเป็นจำนวน 30,000 บาท แม้ว่าเหตุในคดีนี้จะเกิดอยู่ในช่วงระยะเวลาของคดีก่อน สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่เดียวกันและเงินที่จำเลยทุจริตเบียดบังเอาไปนั้นเป็นเงินประเภทเดียวกันก็ตาม แต่ตามคำบรรยายฟ้องยังไม่ชี้ชัดลงไปว่าเงินจำนวน 30,000 บาท ที่โจทก์หาว่าจำเลยเบียดบังในคดีนี้เป็นจำนวนเดียวกันรวมอยู่ในคดีก่อนหรือไม่และโจทก์สามารถจะฟ้องรวมมา ในคดีก่อนได้อยู่แล้วหรือไม่ จึงชอบที่จะฟังจากการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยเสียก่อน ไม่ควรสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่าเป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประจำแผนกการเงินที่ทำการศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่เก็บรักษาเงินงบประมาณแผ่นดิน และเงินของทางราชการประเภทต่าง ๆ และมีหน้าที่รับจ่ายเงินของที่ทำการศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ กรมการศาสนาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท โอนมาตั้งจ่ายที่คลังจังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่ออุดหนุนบำรุงพระศาสนาซ่อมแซมบูรณะพระอุโบสถวัดน้ำหัก จำเลยมีหน้าที่จัดการให้เงินงบประมาณจำนวนดังกล่าวพ้นสภาพหรือเปลี่ยนจากเงินงบประมาณแผ่นดินกลายเป็นเงิน ศาสนสมบัติอุดหนุนวัดน้ำหัก เพื่อรอให้วัดน้ำหักเบิกนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ต่อไป แต่จำเลยไม่กระทำการดังกล่าวคือเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๐ เวลากลางวันจำเลยเบิกเงินงบประมาณกรมการศาสนา จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท จากคลังจังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วฝากเข้าคลังจังหวัดสุราษฎร์ธานีในฐานะเป็นเงินศาสนสมบัติอุดหนุนวัดน้ำหักโดยมิได้จัดให้ศึกษาธิการอำเภอคีรี รัฐนิคมเป็นผู้ดำเนินการตามระเบียบ ครั้นวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๑๑ เวลากลางวัน จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตบังอาจเบิกเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินศาสนสมบัติอุดหนุนบูรณะวัดน้ำหักดังกล่าวจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วเบียดบังเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท เป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริต โดยจำเลยลงลายมือชื่อปลอมหรือใช้ผู้อื่นลงลายมือชื่อปลอมในบัญชีจ่ายเงินค่าใช้สอย กรมการศาสนา (สมุด ธ.๑๐) โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนหรือรัฐ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่ามีผู้ลงลายมือชื่อรับเงินจำนวนข้างต้นไปโดยถูกต้องแท้จริงเป็นการปลอมเอกสารราชการ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเป็นการเสียหายแก่รัฐเอาไปเสียซึ่งทรัพย์อันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองรักษาไว้และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗, ๑๕๘, ๒๖๔, ๒๖๕ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๗, ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธว่าความจริงเงินจำนวนนี้เจ้าอาวาสวัดน้ำหักได้รับไปถูกต้องแล้วฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดี อาญาหมายเลขแดงที่ ๑๒๕๑/๒๕๑๓, ๑๒๕๒/๒๕๑๓, ๑๒๕๓/๒๕๑๓ ของศาลชั้นต้นซึ่งรวมพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยจึงให้งดแล้ววินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์บรรยายรายละเอียดการกระทำผิดของจำเลยในระหว่างระยะเวลาที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อน ซึ่งโจทก์ควรจะรวมฟ้องไว้ในคดีก่อน โจทก์มาฟ้องเป็นคดีใหม่ เป็นการเอาเปรียบจำเลย เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปรากฏว่าในคดีก่อนโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ เบียดบังยักยอกทรัพย์ของทางราชการทำลายซ่อนเร้นทำให้สูญหายซึ่งเอกสารของทางราชการ รวมหลายอย่างหลายรายการโดยเฉพาะในฟ้องข้อ ๑ ง. โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๖ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๒ จำเลยโดยทุจริตเบียดบังยักยอกเงินศาสนสมบัติจากอำเภอไชยา และอำเภอพระแสงหลายครั้งรวมเป็นเงิน ๕๒,๙๒๒ บาท ๕๕ สตางค์ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย คดีถึงที่สุดก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริตเบียดบังเงินศาสนสมบัติสำหรับซ่อมแซมบูรณะพระ อุโบสถวัดน้ำหัก อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท โดยดำเนินการกระทำเป้น ๒ ตอน คือในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยเบิกเงินงบประมาณกรมการศาสนา จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ฝากคลังจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นเงินศาสนสมบัติอุดหนุนวัดน้ำหัก ต่อมาวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๑๑ จำเลยจึงเบิกเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท นี้เบียดบังเอาเป็นประโยชน์หรือ แม้ว่าเหตุในคดีนี้จะเกิดอยู่ในช่วงระยะเวลาของคดีก่อนสถานที่เกิดเหตุอยู่ที่เดียวกันที่ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเงินที่จำเลยทุจริตเบียดบังเอาไปนั้นเป็นเงินศาสนสมบัติประเภทเดียวกันก็ตาม เพียงแต่ดูตามคำบรรยายฟ้องยังไม่ชี้ขาดว่าเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาทที่โจทก์หาว่าจำเลยเบียดบังในคดีนี้ เป็นจำนวนเดียวกันรวมอยู่ในคดีก่อนหรือไม่ หรือเป็นคนละจำนวนและโจทก์สามารถที่จะฟ้องรวมมาในคดีก่อนได้อยู่แล้วหรือไม่ จึงชอบที่จะฟังจากการนำสืบพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยเสียก่อนหาควรด่วนวินิจฉัยไปในชั้นนี้ไม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปจนเสร็จสิ้น กระแสความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share