แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องของโจทก์ที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 วรรคสอง และมาตรา 201 วรรคหนึ่ง (เดิม) มิได้กล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบ หรือฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายใด คงอ้างแต่เพียงว่า กรณีมีเหตุสุดวิสัยที่โจทก์ไม่สามารถมาศาลได้ โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งของศาล ขอให้ไต่สวนและกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ต่อไป เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา จึงถือได้ว่าคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำขอให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 วรรคหนึ่ง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้ โดยไม่ต้องทำการไต่สวน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามส่งมอบเครื่องถักผ้าตามสัญญาเช่าคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนพร้อมดอกเบี้ยและค่าขาดประโยชน์
จำเลยทั้งสามยื่นคำให้การต่อสู้คดี
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ เวลา ๑๓ นาฬิกา ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาเมื่อเวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล ทนายจำเลยทั้งสามแถลงว่าไม่ประสงค์ให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ โจทก์ยื่นคำร้องว่าในวันนัดสืบพยาน ทนายโจทก์ป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาศาลไม่ได้ แต่ได้แจ้งให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาศาลตามวันเวลานัดและแถลงให้ศาลทราบถึงเหตุขัดข้องที่ทนายโจทก์ไม่สามารถมาศาลได้ ทนายโจทก์ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ เวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา และได้สอบถามไปยังโจทก์ จึงได้ทราบว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้มาศาลตามวันเวลานัดแล้ว แต่ตรวจสอบหาเลขคดีในใบลอยไม่พบ จึงเดินทางกลับไป ทนายโจทก์รีบได้เดินทางมาที่ศาลชั้นต้นทันที มาถึงเมื่อเวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกา จึงทราบว่าศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งของศาล แต่ด้วยเหตุขัดข้องอันเป็นเหตุสุดวิสัย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอได้มีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องและกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๑ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำพยานเข้าสืบก่อนโดยนัดสืบพยานโจทก์ นัดแรกในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ เวลา ๑๓ นาฬิกา โจทก์ทราบกำหนดวันสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้วในวันสืบพยาน ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณา เมื่อเวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา ทนายจำเลยทั้งสามมาศาล แต่โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ทนายจำเลยทั้งสามแถลงต่อศาลว่าไม่ประสงค์ที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ เห็นได้ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามบทบัญญัติของกฎหมาย มาตรา ๑๙๗ วรรคสอง และมาตรา ๒๐๑ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๑ ที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบ หรือฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายใด อ้างแต่เพียงว่า กรณีมีเหตุสุดวิสัยที่โจทก์ไม่สามารถมาศาลได้ โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งของศาล ขอให้ไต่สวนและกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ต่อไป เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา จึงถือได้ว่าคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๑ วรรคหนึ่ง ดังกล่าว ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้ โดยไม่ต้องทำการไต่สวนคำร้อง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องและกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ต่อไปนั้นฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน.