คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8593/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปรามปราบผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผู้คัดค้านในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ย่อมถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อนตามบทบัญญติดังกล่าว ดังนั้น เงินหรือทรัพย์ของผู้คัดค้านที่มีอยู่หรือได้มาเกินฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต จึงถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้คัดค้านมีหน้าที่นำสืบเพื่อพิสูจน์หักล้าง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตในระหว่างที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีดังกล่าว โจทก์ยื่นคำร้องว่าเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและมอบให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ผลการตรวจสอบปรากฏว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง 2 ประการ คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโมโตโรล่า หมายเลข 01-8591619 จำนวน 1 เครื่อง และเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานใหม่ ดอนเมือง เลขที่บัญชี 081-1-05212-7 ชื่อบัญชี นางสาวอรุณ ประชาสิทธิ์ จำเลยที่ 3 จำนวนเงิน 204,078.39 บาท ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ผู้ถูกตรวจสอบจำนวน 2 รายการเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยเงินฝากไว้ ขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินทั้งสองรายการดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 19, 20, 21, 22, 23, 27, 29, 31
จำเลยที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ร้องขอให้ศาลสั่งริบนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์สินที่ยึดและอายัด และคืนแก่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้ริบเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานใหม่ดอนเมือง เลขที่บัญชี 081-1-05212-7 ชื่อบัญชีของจำเลยที่ 3 ยอดเงินคงเหลือ 204,078.39 บาท ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน คือเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานใหม่ดอนเมือง เลขที่บัญชี 081-1-05212-7 ชื่อบัญชีจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน ยอดเงินคงเหลือ 204,078.39 บาท เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านฎีกาว่า การริบทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29, 31 นั้นจะต้องเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านได้มาจากการกระทำความผิดในคดีที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านถูกลงโทษเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น โดยในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ริบดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านถูกลงโทษ เห็นว่า คดีนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้าน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ถ้าปรากฏหลักฐานว่าจำเลยหรือผู้ถูกตรวจสอบเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาเงินหรือทรัพย์ที่ผู้นั้นมีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพ หรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด” เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อนตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เงินหรือทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านที่มีอยู่หรือได้มาเกินฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริตจึงถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านมีหน้าที่นำสืบเพื่อพิสูจน์หักล้าง ฎีกาของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านที่ว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบไว้ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ว่าเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดที่จำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านถูกลงโทษ ศาลย่อมไม่มีอำนาจสั่งริบจึงฟังไม่ขึ้น และเมื่อปรากฏจากทางนำสืบจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านไม่อาจนำสืบได้ว่า เงินฝากในบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ริบทรัพย์สินดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share