แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะกรณีที่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 และข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ.2544 มิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จึงให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 33 บัญญัติถึงเงื่อนไขในการยื่นคำฟ้องคดีภาษีอากรต่อศาลจังหวัดไว้แล้ว จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 17 ที่จะนำ ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้น แม้มูลคดีนี้จะเกิดที่จังหวัดหนองบัวลำภู แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงไม่สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดหนองบัวลำภูได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยที่ศาลจังหวัดหนองบัวลำภูขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และให้จำเลยคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 14,016.10 บาท แก่โจทก์
ศาลจังหวัดหนองบัวลำภูมีคำสั่งให้ส่งคำฟ้องไปยังศาลภาษีอากรกลาง ศาลภาษีอากรกลางตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ยังเสียค่าขึ้นศาลไม่ครบถ้วน จึงให้โจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลอีกจำนวน 887.50 บาท ให้ครบถ้วนแล้วจึงจะมีคำสั่งต่อไป
ต่อมาศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งใหม่ว่า โจทก์ฟ้องกรมสรรพากรซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครเป็นจำเลย โจทก์จึงต้องยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง จะยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดหนองบัวลำภูไม่ได้ กรณีไม่ต้องตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มเติม และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์สามารถยื่นคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดหนองบัวลำภูได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องกรมสรรพากรซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครเป็นจำเลย ซึ่งมาตรา 33 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ได้บัญญัติเป็นการเฉพาะไว้แล้วว่า “ในระหว่างที่ศาลภาษีอากรจังหวัดยังมิได้เปิดทำการในท้องที่ใด ให้ศาลภาษีอากรกลางมีเขตอำนาจในท้องที่นั้นด้วย โจทก์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดแห่งท้องที่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาก็ได้” โดยบทบัญญัติดังกล่าวมิได้กล่าวถึงกรณีมูลคดีเกิดเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดหนองบัวลำภู โจทก์จึงไม่สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดหนองบัวลำภูได้ ส่วนมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 ที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์นั้นเป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะกรณีที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 และข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2544 มิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จึงให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 33 บัญญัติถึงเงื่อนไขในการยื่นคำฟ้องคดีภาษีอากรต่อศาลจังหวัดไว้แล้ว จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 17 ที่จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) มาใช้บังคับโดยอนุโลมได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ