แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินรายจ่ายที่โจทก์จ่ายให้บริษัท ย. สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 และปี 2532 โดยคิดเป็นร้อยละของรายจ่ายหลักที่ใช้ในการผลิตบวกด้วยร้อยละของรายจ่ายในการสำรวจทางธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์และบวกด้วยร้อยละของรายจ่ายทางตรง เป็นการกำหนดขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงรายจ่ายที่เกิดขึ้นของบริษัท ย. จึงมิใช่รายจ่ายตามปกติและจำเป็นในการปิโตรเลียมของโจทก์ที่โจทก์จะนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ตาม มาตรา 65 ฉ แห่ง พ.ร.บ. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
แต่เงินรายจ่ายที่บริษัท ซ. และบริษัท ม. ผู้ร่วมสัมปทานกับโจทก์ต้องเฉลี่ยจ่ายให้กับบริษัท ย. สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 และปี 2532 โดยจ่ายให้แก่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วสำนักงานใหญ่ของโจทก์ได้จ่ายต่อให้แก่บริษัท ย. เป็นการที่โจทก์ได้รับเงินได้จากบริษัทผู้ร่วมสัมปทานซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันในส่วนที่เกินจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้จ่ายคืนให้บริษัท ซ. และบริษัท ย. ผู้ร่วมสัมปทานกับโจทก์ ถือเป็นเงินได้อื่นที่โจทก์ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (5) พ.ร.บ. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ที่โจทก์ต้องนำมารวมในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2549)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเลขที่ ต.7/1017/3/100001 และ 100002 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.1 (อธ.2) /2542/305 และ 306 ลงวันที่ 27 เมษายน 2542 และให้ถือว่าโจทก์มีสิทธินำรายจ่ายที่ได้จัดสรรในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 และ 2532 จำนวน 70,374,704.13 บาท และ 75,754,440.99 บาท ตามลำดับ ไปถือเป็นรายจ่ายในการคิดคำนวณกำไรขาดทุนสิทธิของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวได้ อีกทั้งไม่ถือว่าโจทก์มีรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 และ 2532 เป็นจำนวนเงิน 22,910,353.33 บาท และ 27,699,665.91 บาท และขอให้งดเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขหนังสือแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยให้ถือว่าเงินที่บริษัทเซ้าท์อีสท์เอเชียปิโตรเลียมเอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด และบริษัทมิตซุยออยล์เอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด จ่ายเป็นค่าชดเชยสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 จำนวน 22,910,353.33 บาท และสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 จำนวน 27,699,665.91 บาท ไม่ใช่รายได้ของโจทก์ที่จะนำมารวมในการคำนวณกำไรสุทธิให้ลดเบี้ยปรับให้โจทก์ โดยให้เรียกเก็บเพียงร้อยละ 20 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามหนังสือแจ้งการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า …คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า รายจ่ายที่โจทก์จ่ายให้แก่บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 จำนวน 70,374,704.13 บาท และสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 จำนวน 75,754,440.99 บาท เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 สัตต แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ซึ่งไม่สามารถหักเป็นรายจ่ายได้ตามมาตรา 65 ฉ แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 หรือไม่ โจทก์และผู้ร่วมสัมปทานคือบริษัทเซ้าท์อีสท์เอเชียปิโตรเลียมเอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด และบริษัทมิตชุยออยล์เอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด ได้รับโอนกิจการและสิทธิที่มีอยู่ในสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2515/5 และสัมปทานเลขที่ 2/2515/6 จากบริษัทยูโนแคลไทยแลนด์อิงค์ เดิมชื่อบริษัทยูเนียนออยล์ออฟไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งมาตรา 24 และมาตรา 50 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอและผู้รับโอนสัมปทานปิโตรเลียมไว้ว่าต้องเป็นบริษัทจำกัดที่มีทุน เครื่องจักร เครื่องมืออุปกรณ์ และผู้เชี่ยวชาญเพียงพอที่จะสำรวจ ผลิต ขาย และจำหน่ายปิโตรเลียม หากไม่มีก็ต้องมีบริษัทอื่นที่มีคุณสมบัติดังกล่าวรับรองกับรัฐบาลว่าจะให้ทุน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และบุคลากรแก่ผู้ขอหรือผู้รับโอนสัมปทานให้สามารถสำรวจ ผลิต ขาย และจำหน่ายปิโตรเลียมได้ โจทก์ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว จึงให้บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด ซึ่งถือหุ้นในบริษัทโจทก์ทั้งหมดมาให้คำรับรองหรือค้ำประกันกับรัฐบาลไทยว่าจะปฏิบัติตามข้อผูกพันที่โจทก์มีอยู่ตามสัมปทานและให้ความช่วยเหลือโจทก์ในด้านเงินทุน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในการสำรวจและขุดเจาะหาปิโตรเลียม โดยโจทก์และผู้ร่วมสัมปทานต้องเฉลี่ยกันจ่ายเงินเพื่อชดเชยรายจ่ายให้แก่บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 จำนวน 93,285,057.46 บาท โดยโจทก์รับผิดชอบจำนวน 70,374,705.13 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 22,910,353.33 บาท บริษัทเซ้าท์อีสท์เอเซียปิโตรเลียมเอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด และบริษัทมิตซุยออยล์เอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัดร่วมกันรับผิดชอบ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 จำนวน 103,454,106.90 บาท โดยโจทก์รับผิดชอบจำนวน 75,754,440.99 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 27,699,665.91 บาท บริษัทผู้ร่วมสัมปทานร่วมกันรับผิดชอบ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 27 บัญญัติว่า รายได้เมื่อได้หักรายจ่ายตามปกติและจำเป็นออกแล้วผลลัพธ์เป็นผลกำไรประจำปีหรือผลขาดทุนประจำปี แล้วแต่กรณี และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 65 ฉ บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 65 สัตต และมาตรา 65 อัฎฐ รายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควร และได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียมไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกราชอาณาจักร และภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง… (8) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัท ส่วนมาตรา 65 สัตต บัญญัติว่า รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง… จึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่า กรณีที่โจทก์จ่ายรายจ่ายที่คำนวณขึ้นเป็นร้อยละของรายจ่ายอื่นให้แก่บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด เป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นตามมาตรา 65 สัตต แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 หรือไม่ และเป็นรายจ่ายที่อยู่ใน (1) ถึง (10) ของบทมาตราดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า การกำหนดรายจ่ายที่คิดเป็นร้อยละของรายจ่ายหลักที่ใช้ในการผลิตบวกด้วยร้อยละของรายจ่ายในการสำรวจทางธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์และบวกด้วยร้อยละของรายจ่ายทางตรงนั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นการกำหนดขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงของบริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด และทางพิจารณาของโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบแสดงให้เห็นว่ารายจ่ายที่คิดเป็นร้อยละของรายจ่ายหลักที่ใช้ในการผลิต ในการสำรวจทางธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์และรายจ่ายทางตรงนั้นเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงและได้จ่ายไปจริง ดังนี้ รายจ่ายดังกล่าวจึงมิใช่รายจ่ายตามปกติและจำเป็นในกิจการปิโตรเลียมของโจทก์ตามบทกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น โจทก์จึงอ้างรายจ่ายในส่วนที่คิดเป็นร้อยละเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการในบริษัทโจทก์ และนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิหาได้ไม่ และเมื่อวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้วจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า รายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมของบริษัทตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 65 ฉ (8) หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่าโจทก์นำรายจ่ายดังกล่าวไปคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมไม่ได้นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำนวนเงินรายจ่ายในส่วนที่บริษัทเซ้าท์อีสท์เอเชียปิโตรเลียมเอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด และบริษัทมิตซุยออยล์เอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด ต้องเฉลี่ยความรับผิดกับโจทก์ที่บริษัททั้งสองดังกล่าวได้จ่ายให้แก่บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 จำนวน 22,910,353.33 บาท และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 จำนวน 27,699,665.91 บาท ถือเป็นรายได้เพิ่มขึ้นของโจทก์หรือไม่ ปัญหานี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า รายจ่ายในส่วนที่บริษัทเซ้าท์อีสท์เอเชียปิโตรเลียมเอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด และบริษัทมิตซุยออยล์เอ็กซ์พลอเรชั่น จำกัด ผู้ร่วมสัมปทานกับโจทก์จะต้องเฉลี่ยรับผิดชอบจ่ายให้แก่บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 จำนวน 22,910,353.33 บาท และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 จำนวน 27,699,665.91 บาท โดยบริษัทผู้ร่วมสัมปทานทั้งสองได้จ่ายเงินสองจำนวนดังกล่าวให้แก่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วสำนักงานใหญ่ของโจทก์ได้จ่ายต่อให้แก่บริษัทยูเนียนออยล์ออฟแคลิฟอร์เนีย จำกัด และตามที่ได้วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์แล้วว่า รายจ่ายในส่วนที่คิดเป็นร้อยละตามสัญญาปฏิบัติการ (Operating Agreement) โจทก์ไม่สามารถนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมได้ เพราะมิใช่รายจ่ายตามปกติและจำเป็น ดังนี้การที่โจทก์ได้รับเงินได้ดังกล่าวจากบริษัทผู้ร่วมสัมปทานซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันในส่วนที่เกินจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในการดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้จ่ายคืนให้บริษัทผู้ร่วมสัมปทานดังกล่าว เงินได้ดังกล่าวจึงเป็นเงินได้อื่นใดที่โจทก์ได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม ตามมาตรา 22 (5) แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ของโจทก์ที่ได้รับจากบริษัทผู้ร่วมสัมปทาน ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า เงินที่บริษัทผู้ร่วมสัมปทานทั้งสองของโจทก์จ่ายเป็นค่าชดเชยสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 และ 2532 จำนวน 22,910,353.33 บาท และ 27,699,665.91 บาท ตามลำดับ ไม่ใช่รายได้ของโจทก์ที่จะนำมารวมในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธินั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเลขที่ ต.7/1017/3/100001 และ 100002 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.1 (อธ.2) 2542/305 และ 306 ลงวันที่ 27 เมษายน 2542 ของจำเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับรายได้ของโจทก์ที่ได้รับจากบริษัทผู้ร่วมสัมปทานกับโจทก์เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ