แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายฐานละเมิดจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมที่เป็นอยู่ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายจำนวน 80,205 บาท แก่โจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายให้โจทก์ การที่โจทก์ฎีกาเรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดเอาแก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน 80,205 พร้อมด้วยดอกเบี้ย เป็นการโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่2640 ตำบลบางเก่า อำเภอชำอำ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 15สิงหาคม 2529 โจทก์ให้เจ้าพนักงานไปทำการรังวัดสอบเขต ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกถูกจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปเป็นเนื้อที่ 13 ตารางวา จำเลยทั้งสองได้ถมดินรุกล้ำเข้าไปและจำเลยที่ 1 ได้คัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์การที่จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกคำคัดค้านของจำเลยที่ 1 ที่คัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีกับขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2640พร้อมปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายฐานละเมิดจำนวน 157,680 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยบุกรุกที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองได้ซื้อที่ดินมาจากนายจ่วน พรหมบรรพต ซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย จำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินที่ซื้อมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านเกินกว่า 10 ปี แล้ว ฉะนั้น หากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท การที่จำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยสุจริต จำเลยทั้งสองมิได้กระทำละเมิดจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำคัดค้านของจำเลยที่ 1 ที่คัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2650และปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมที่เป็นอยู่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายฐานละเมิด จำนวน 80,205 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2530เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายฐานละเมิดให้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาเรียกร้องค่าเสียหายฐานละเมิดเอาแก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน 80,205 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จอันเป็นการฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นโดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งคดีโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของโจทก์ขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์