แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความจริงซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ปกปิดไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบในเวลาทำสัญญาประกันภัย แม้อาจจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหากได้ทราบข้อความจริงนั้น ไม่ถึงกับให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญาด้วยก็ตามข้อความจริงในระดับความสำคัญทั้งสองประการนี้ย่อมมีผลให้สัญญาประกันภัยเป็นโมฆียะเช่นเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865
ผลแห่งโมฆียะกรรมตามบทบัญญัติดังกล่าวขึ้นอยู่กับการพิเคราะห์ความสำคัญของข้อความจริง แต่ในชั้นขณะทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ฉะนั้น แม้จะปรากฏว่าผู้เอาประกันชีวิตมิได้มรณะด้วยโรคที่ตนเคยป่วยมาก่อนทำสัญญาประกันชีวิตและได้ปกปิดไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบก็ตามก็ไม่ทำให้ผลของสัญญาซึ่งเป็นโมฆียะไปแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ผู้รับประกันภัยชอบที่จะบอกล้างสัญญาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศฮ่องกง ได้เข้ามาประกอบธุรกิจการค้ารับประกันชีวิตในราชอาณาจักรไทยโดยจดทะเบียนสาขา ณ กระทรวงเศรษฐการจดทะเบียนจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการมีอำนาจทำการแทนบริษัท จำเลยที่ ๓,๔, ๕, ๖ เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ในการหาประกันชีวิตและจัดการเกี่ยวกับการจัดให้มีการประกันชีวิต
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๖ โดยฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ได้นำแบบฟอร์มของบริษัท ฯ จำเลยที่ ๑ ซึ่งได้กรอกข้อความเรียบร้อยแล้ว ให้นายสันติ โฆสิตะมงคล ลงชื่อ ตามที่นายสันติ โฆสิตะมงคลได้ติดต่อขอเอาประกันชีวิตไว้เป็นเงินหนึ่งแสนบาทโดยขอเอาประกันแบบสะสมทรัพย์และอุบัติเหตุด้วย กำหนดอายุสัญญาสิ้นสุดในวันที่ ๒๐ มิถุนายน๒๕๒๙ ระบุชื่อโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ เป็นผู้รับประโยชน์
ต่อมาในวันนั้นเอง จำเลยที่ ๑ ได้จัดให้จำเลยที่ ๔ ตรวจสุขภาพนายสันติแต่นายสันติยังข้องใจในผลการตรวจ เพราะนายสันติ โฆสิตะมงคล เคยได้รับการรักษาเกี่ยวกับโรคเบาหวานและความดันในโลหิตมาก่อน แต่ในรายงานผลการตรวจไม่ปรากฏโรคดังกล่าวนี้ จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๖ รับรองว่าโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตนี้เป็นโรคเกี่ยวกับสุขภาพ บริษัทจำเลยที่ ๑ไม่ถือเป็นโรคสำคัญที่จะปฏิเสธการรับประกันชีวิต เพราะถ้าจะถือเป็นสารสำคัญก็จะต้องระบุโรคดังกล่าวไว้ในเอกสารหมายเลข ๓ ด้วย บริษัทจำเลยที่ ๑ โดยการพิจารณาของจำเลยที่ ๒, ๓ และ ๕ เคยรับประกันชีวิตบุคคลอื่นที่เคยรักษาด้วยโรคดังกล่าวมาแล้วหลายราย แต่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันสูงขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพ ในชั้นนี้ให้นายสันติ โฆสิตะมงคล ชำระเบี้ยประกันภัยในอัตราปกติไปก่อน เมื่อบริษัทจำเลยที่ ๑ พิจารณาเรื่องสุขภาพแล้ว ถ้าเห็นว่ามิอาจรับได้ก็ดี หรือควรเสียค่าประกันชีวิตเพิ่มอีกมากน้อยเพียงใดก็ดีบริษัทจำเลยที่ ๑ จะแจ้งมาภายหลังนายสันติจึงได้ชำระเบี้ยประกันชีวิตในอัตราปกติเป็นจำนวนเงินสำหรับงวดหกเดือนจำนวน ๕,๐๑๓ บาทให้จำเลยที่ ๖ รับไป
ครั้นในวันที่ ๒๑ เดือนเดียวกัน จำเลยที่ ๑ ตกลงรับประกันชีวิตรายนี้แต่เรียกเบี้ยประกันเพิ่มอีกพันละ ๑๐.๕๙ บาท รวมส่วนที่เพิ่มสำหรับครึ่งปีเป็นเงิน๔๖๗ บาท ซึ่งนายสันติได้ชำระให้จำเลยที่ ๖ ไปแล้ว จำเลยจึงมอบกรมธรรม์สัญญาประกันชีวิตให้นายสันติยึดถือไว้ ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์โดยเพิ่มโจทก์ที่ ๓ เป็นผู้รับประโยชน์อีกคนหนึ่ง ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยดังกล่าว นายสันติ โฆสิตะมงคล ได้ถึงแก่กรรมเพราะโลหิตออกมาเนื่องจากการผ่าตัดโรคตับ โจทก์ทั้งสามได้แจ้งการตายของนายสันติให้จำเลยทราบจำเลยได้จัดให้โจทก์ทำคำขอรับค่าทดแทนเพื่อจะจ่ายเงินให้ตามกรมธรรม์แต่ในที่สุดจำเลยไม่ยอมจ่าย โดยจำเลยที่ ๕ เป็นผู้แจ้งให้ทราบ อ้างนายสันติปกปิดโรคของตนขณะขอประกันชีวิต ขอให้จำเลยร่วมกันใช้เงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งหกให้การร่วมกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒-๖เป็นส่วนตัว เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในนามของจำเลยที่ ๑ ความจริงในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๐๙ นั้น นายสันติได้ทำคำขอเอาประกันชีวิตกับจำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๖ เป็นผู้ติดต่อและกรอกข้อความ ตามที่ได้สอบถามจากนายสันติในแบบสมัครเอาประกัน และในวันนั้นเอง จำเลยที่ ๖ นัดหมายให้นายสันติไปพบจำเลยที่ ๔ แพทย์ผู้ตรวจสุขภาพที่จำเลยที่ ๑ แต่งตั้งไว้ ข้อความในเอกสารหมาย ๓ จึงเป็นข้อความที่จำเลยที่ ๔ กรอกตามที่สอบถามจากนายสันตินอกจากตรวจร่างกายแล้วยังสอบถามว่าเคยป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ดังปรากฏในเอกสารนั้นหรือไม่ แล้วจึงตรวจร่างกาย ซึ่งเป็นการปฏิบัติเช่นแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้ขอเอาประกันโดยทั่ว ๆ ไป โดยอาศัยความเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงที่ผู้เอาประกันชีวิตได้ให้ไว้ต่อแพทย์ผู้ตรวจเสียก่อน จำเลยที่ ๑ และที่ ๖ ไม่เคยรับรองต่อนายสันติดังโจทก์กล่าวหา นายสันติปกปิดความจริงที่รู้อยู่แล้วต่อจำเลยที่ ๔ ว่าไม่เคยป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย ๓ ท้ายฟ้อง ความจริงนายสันติเคยป่วยด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ขนาดถึงกับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลก่อนขอเอาประกันชีวิตกับจำเลย จำเลยเพิ่งทราบความจริงเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ การตรวจร่างกายปรากฏผลเพียงว่าความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติสูง (สูงสำหรับอัตราปกติ) จำเลยที่ ๑ จึงเรียกเบี้ยประกันเพิ่มเล็กน้อย หาใช่เรียกเพิ่มโดยรู้ว่าเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงมาก่อนไม่จำเลยที่ ๑ ตกลงรับประกันและออกกรมธรรม์ให้ เมื่อนายสันติถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ โจทก์ได้ยื่นขอรับค่าทดแทน จำเลยไม่เคยรับรองจะจ่ายให้ เพียงแต่แจ้งว่าจะได้พิจารณาเมื่อได้รับหลักฐานประกอบคำขอรับเงินค่าทดแทนต่าง ๆ จากโจทก์ เมื่อจำเลยได้สืบสวนต่อมาก็ได้ทราบความจริงว่านายสันติเคยป่วยด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงมาก่อนเอาประกันและนายสันติรู้ดีอยู่แล้วได้ปกปิดความจริงต่อจำเลยที่ ๔ ขณะสอบถามทั้งแจ้งเท็จว่าไม่เคยป่วยด้วยโรคใด ๆ มาก่อนเลย หากจำเลยรู้ความจริงก็ต้องปฏิเสธการรับประกันชีวิตนายสันติ นายสันติตายสืบเนื่องจากโรคที่เคยป่วยมาก่อน จำเลยทราบความจริงเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ จึงมีหนังสือถึงโจทก์เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ ปฏิเสธการใช้เงินกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒-๖ ไม่ต้องร่วมรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๔ นายสันติปกปิดความจริงในข้อที่เคยป่วยเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นิติกรรมประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ จำเลยได้ปฏิเสธการใช้เงินและบอกล้างนิติกรรมรายนี้แล้วนิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
คดีมาสู่ศาลฎีกาตามที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งเป็นประเด็นขึ้นมารวม ๔ ข้อด้วยกันคือ
๑. ขณะทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้ ผู้เอาประกันชีวิตได้แจ้งให้ตัวแทนจำเลยที่ ๑ ทราบว่าตนเคยเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงมาแล้ว
๒. โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงนี้บริษัทจำเลยที่ ๑ ไม่ถือเป็นโรคสำคัญถึงขนาดที่จะไม่รับประกันชีวิต เพียงแต่เป็นเหตุให้บริษัทเรียกเบี้ยประกันชีวิตเพิ่มขึ้นเท่านั้น
๓. เมื่อผู้เอาประกันชีวิตตายลงเพราะเหตุการณ์ผ่าตัด มิใช่ตายเพราะโรคเบาหวาน บริษัทจึงจะปฏิเสธความรับผิดมิได้
๔. จำเลยทั้งหกต้องรับผิดร่วมกันในฐานะตัวการตัวแทน
ในประเด็นข้อ ๑ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าฝ่ายโจทก์ได้แจ้งอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานของนายสันติผู้เอาประกันภัยให้ตัวแทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ทราบ
ในประเด็นข้อ ๒ ศาลฎีกาเห็นว่าความสำคัญของข้อความจริงที่ผู้เอาประกันชีวิตมีหน้าที่ต้องเปิดเผยนั้น ไม่แต่เฉพาะที่อาจมีผลจูงใจผู้รับประกันภัยให้ถึงกับบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงข้อความจริงที่อาจจูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น แม้อาจไม่ถึงกับที่จะทำให้ผู้รับประกันภัยปฏิเสธไม่ยอมทำสัญญาด้วยก็ตาม ข้อความจริงในระดับความสำคัญทั้งสองประการนี้ย่อมมีผลให้สัญญาประกันภัยเป็นโมฆียะเช่นเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้รู้หรือควรรู้ว่าผู้เอาประกันเคยเป็นโรคเบาหวาน และกรณีฟังได้ว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่สำคัญที่บริษัทประกันภัยต้องการทราบว่าผู้เอาประกันเคยป่วยด้วยโรคนี้หรือไม่เพื่อในการพิจารณาว่าจะตกลงรับประกันหรือไม่ สัญญาจึงย่อมเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕
ในประเด็นข้อ ๓ ซึ่งโจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาอีกข้อหนึ่งว่าผู้รับประกันภัยจะปฏิเสธความรับผิดมิได้ เมื่อผู้เอาประกันภัยมรณะด้วยเหตุอื่นมิใช่โรคภัยที่ตนเคยป่วยมาก่อนทำสัญญาประกันชีวิตซึ่งมิได้เปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าผลแห่งโมฆียะกรรมตามบทบัญญัติดังกล่าวในประเด็นข้อ ๒ ขึ้นอยู่กับการพิเคราะห์แต่ในชั้นขณะทำสัญญาว่าข้อความจริงที่ผู้เอาประกันภัยปกปิดไม่เปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบนั้นอาจจูงใจผู้รับประกันให้ปฏิเสธไม่ยอมรับประกัน หรือหากยอมรับประกันก็จะเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือไม่เท่านั้น ไม่จำต้องพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงว่าผู้เอาประกันภัยจะต้องมรณะลงด้วยโรคภัยที่ปกปิด ไม่เปิดเผยให้ทราบนั้นด้วยถ้าโรคภัยที่ปกปิดไว้มีความสำคัญถึงขนาดดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕ แล้ว ย่อมมีผลให้สัญญาเป็นโมฆียะ ซึ่งผู้รับประกันภัยชอบที่จะบอกล้างสัญญาได้
กรณีคงเหลือประเด็นข้อสุดท้ายแต่เมื่อฟังว่าสัญญาประกันชีวิตรายพิพาทตกเป็นโมฆะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงประเด็นที่ว่า จำเลยทั้งหกต้องร่วมรับผิดตามฟ้องหรือไม่
พิพากษายืน