คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1076/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ร้านค้าสวัสดิการในมณฑลทหารบก ซึ่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกอนุมัติให้ตั้งขึ้น ไม่ใช่ของทางราชการ กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพบกและป้องกันราชอาณาจักรไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าแม้มณฑลทหารบกจะเป็นหน่วยราชการสังกัดกองทัพบก ร้านค้าสวัสดิการนี้ก็ไม่ใช่ราชการของกองทัพบก กองทัพบกไม่มีส่วนรับผิดชอบด้วย
จำเลยมีตำแหน่งเป็นนายทหารฝ่ายสวัสดิการของมณฑลทหารบกได้จัดตั้งร้านค้าสวัสดิการขึ้นตามที่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกดำริและอนุมัติ โดยจำเลยเป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการค้าของร้านเมื่อจวนสิ้นเดือน เจ้าหน้าที่ผู้ขายจะรวบรวมบิลเงินเชื่อที่ข้าราชการมณฑลทหารบกเป็นผู้ซื้อเสนอจำเลยเพื่อจำเลยจะเสนอไปยังเจ้าหน้าที่การเงินให้หักเงินเดือนผู้ซื้อ เงินที่หักไว้นี้จำเลยเป็นผู้รับมาแล้วจ่ายให้พ่อค้า เมื่อจำเลยเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงที่จะต้องเก็บรวบรวมเงินที่ขายได้ชำระให้โจทก์จะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการกองสวัสดิการแผนกร้านค้าสโมสรมณฑลทหารบกที่ 1 ซึ่งสังกัดจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ในตำแหน่งหัวหน้าร้านค้า ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ไปจำหน่ายในร้านค้า และยังค้างชำระอยู่ 18,922.40 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้ว่า ร้านค้าสวัสดิการไม่ใช่ส่วนราชการของจำเลยที่ 2และร้านค้านี้ไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์

ศาลชั้นต้นฟังว่า มณฑลทหารบกที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยราชการสังกัดกองทัพบกจำเลยที่ 2 ได้จัดตั้งร้านค้าสวัสดิการขายของเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ข้าราชการทหารในมณฑลทหารบกที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่หัวหน้าแผนกสวัสดิการ ควบคุมดูแลรับผิดชอบโดยเฉพาะ จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำมาขายในร้านค้าจริง จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบ ส่วนจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานภายในขอบเขตแห่งหน้าที่ ในฐานะตัวแทน ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามณฑลทหารบกที่ 1เป็นหน่วยราชการสังกัดกองทัพบกจำเลยที่ 2 ก็จริงอยู่ แต่โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นชัดว่าเป็นเพราะเหตุใดจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินที่โจทก์ฟ้อง ทั้ง ๆ ที่ผู้จัดการโจทก์ก็รับอยู่ว่า การค้าขายสินค้านี้พยานไม่เคยไปติดต่อกับกองทัพบกเลย แต่หากเข้าใจเอาเองว่าร้านค้าสวัสดิการนี้เป็นของทางราชการตามเอกสาร ล.1 ประกอบข้อนำสืบของจำเลยฟังได้ชัดว่าร้านค้าสวัสดิการนี้มิใช่ของทางราชการ ดังปรากฏตามบันทึกของพลโทประชุม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 1 ผู้อนุมัติให้ตั้งร้านค้านี้ขึ้น อนึ่งตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา 14 บัญญัติว่า “กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพบกและป้องกันราชอาณาจักร มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ” เห็นได้ว่า การตั้งร้านค้าสวัสดิการดังปรากฏในคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ราชการกองทัพบกจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 2ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าร้านค้านี้จึงไม่ใช่ราชการของกองทัพบก โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดด้วย

ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนรู้เห็นรับสินค้าจากโจทก์เข้ามาในร้านจริง จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นนายทหารฝ่ายสวัสดิการของมณฑลทหารบกที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จัดตั้งร้านค้าสวัสดิการขึ้นตามที่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 1 ดำริและอนุมัติจำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการของร้าน เมื่อจวนสิ้นเดือนเจ้าหน้าที่ผู้ขายก็จะรวบรวมบิลเงินเชื่อที่ข้าราชการมณฑลทหารบกที่ 1 เป็นผู้ซื้อ เสนอจำเลย เพื่อจำเลยจะเสนอไปยังเจ้าหน้าที่การเงินให้หักเงินเดือนผู้ซื้อ เงินที่หักไว้นี้จำเลยเป็นผู้รับมาแล้วจ่ายให้พ่อค้าเอง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อสินค้าจากโจทก์ จึงมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงที่จะต้องเก็บรวบรวมเงินที่ขายได้ชำระให้โจทก์จำเลยที่ 1 จะปฏิเสธไม่ยอมรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่ ข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าโจทก์นำสินค้าเข้ามาในร้าน ขัดต่อระเบียบที่วางไว้ แม้เป็นความจริงก็เป็นเรื่องภายใน จำเลยหาอาจยกมาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไม่

พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2

Share