คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ว่าจ้างจำเลยทำไม้ โดยจำเลยผู้รับจ้างเป็นผู้ตัดฟันชักลาก ล่องนำไม้ไปส่งอู่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นการจ้างเหมา สัญญาจ้างนี้อยู่ในลักษณะจ้างทำของ

สิทธิเรียกร้องในการที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินทดรองค่าจ้างทำของที่จ่ายล่วงหน้าและเหลืออยู่ คืนจากจำเลยผู้รับจ้าง มีอายุความ 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างทำและขนส่งไม้กับบริษัทโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ระหว่างการทำไม้ จำเลยที่ 1 เบิกเงินทดรองทำงานไปจากโจทก์และในระหว่างการล่องแพจำเลยทั้งสองร่วมกันเบิกเงินทดรองการทำงานไปจากโจทก์หลายครั้งหลายหน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ทำใบสำคัญการจ่ายเงินมาหักล้างเงินยืมที่ทดรองไป แต่ไม่ครบคงขาดไปตามสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้ท้ายฟ้อง โจทก์ทวงเตือนจำเลยทั้งสองให้ชำระ ก็ไม่ชำระจึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทน

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้ส่งสัญญาจ้างเดิมที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ ทั้งมิได้บรรยายว่าที่โจทก์ (จำเลย) ทำไม้ส่งให้โจทก์เท่าใด รับเงินไปเท่าใดจำเลยไม่ได้รับเงินหรือค้างเงินตามจำนวนที่ฟ้อง บันทึกรับสภาพหนี้ท้ายฟ้องไม่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้สนองรับบันทึกจึงไม่ผูกพันโจทก์จำเลย โจทก์จะนำมาเป็นมูลฟ้องจำเลยไม่ได้คดีโจทก์ขาดอายุความ ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้ทวงถามจำเลย

จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า สำเนาเอกสารที่โจทก์อ้างว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้นั้น เป็นเพียงบันทึกการทำงบดุลย์ จำเลยไม่ได้ลงชื่อรับรอง จึงไม่ต้องรับผิดจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จริง แต่เห็นว่าจำเลยที่ 1 จะทำไม้ให้โจทก์ไม่ได้ตามสัญญา จำเลยจึงเข้าทำสัญญากับโจทก์แล้วตกลงเลิกสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันจึงไม่มีผลบังคับต่อไป จำเลยมิได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ถึงเงินยืม การรับจ้างทำไม้รายนี้ยังมิได้คิดบัญชีกันโจทก์ยังต้องจ่ายเงินให้จำเลยอีก ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความแล้ว ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้ทวงถาม จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปากแล้วสั่งงดสืบพยาน โดยวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นพ่อค้าไม้ จำเลยทำสัญญาจ้างทำและขนไม้ให้โจทก์เข้าลักษณะสัญญาจ้างทำของ สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้เงินที่ออกทดรองไปมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เกิน 2 ปีนับแต่วันทำสัญญารับสภาพหนี้ท้ายฟ้อง คดีโจทก์จึงขาดอายุความ เมื่อหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว หนี้ตามสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นอุปกรณ์ก็หลุดพ้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยทั้งสอง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามฟ้อง คำให้การและพฤติการณ์แห่งการกระทำของโจทก์จำเลยเกี่ยวกับเงินที่จำเลยเอาไปจากโจทก์ มีลักษณะเป็นการยืมไปใช้จ่ายในการทำไม้ เป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยหนังสือรับสภาพหนี้ นับถึงวันฟ้องคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ แต่คดียังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ ฟังเอาเป็นยุติยังไม่ได้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานคู่ความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมให้ผู้แพ้คดีในที่สุดเป็นผู้เสีย

จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้อง คำให้การ สำเนาเอกสารท้ายฟ้องโจทก์เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองทำไม้ โดยจำเลยผู้รับจ้างเป็นผู้ตัดฟัน ชักลาก ล่องนำไม้ไปส่งอู่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้อันเป็นการจ้างเหมา สัญญาจ้างนี้จัดอยู่ในลักษณะจ้างทำของ จำเลยทำสัญญารับเงินค่าจ้างไปจากโจทก์ล่วงหน้า บัดนี้โจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเสร็จ ยังมีค่าจ้างของโจทก์ที่จำเลยรับไป ติดค้างอยู่ที่จำเลยเป็นจำนวนตามหนังสือที่จำเลยทำรับรองไว้กับโจทก์ โจทก์จึงขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวนี้คืน ดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินทดรองค่าจ้างที่จ่ายล่วงหน้าคืนจากจำเลยสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำให้การยังมีข้อโต้เถียงกัน ฟังเอาเป็นยุติไม่ได้ ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share