แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์แยกฟ้องจำเลย ว.และท. มาเป็นสามสำนวน ข้อหาร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำเลยและ ว.ตามฟ้อง ส่วน ท. คดียังเป็นที่สงสัยให้ยกฟ้องยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยผู้เดียวฎีกา ดังนี้เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึง ว. ซึ่งมิได้ฎีกาได้ เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ตาม ประมวลวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๘๒๘/๒๕๒๖ และ ๑๘๓๐/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น โดยโจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่า จำเลยทั้งสามสำนวนกับพวกอีก ๑ คนได้ร่วมกันพยายามปล้นเอาโค ๓ ตัว ของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ , ๘๓, ๘๐
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสามสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยและนายวันชัย เผือกเจริญ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๘๓๐/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น มีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกคนละ ๖ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานเกี่ยวกับนายทองย้อยหรือนุ่น ปิ่นอำพล จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๘๒๘/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ยังเป็นที่สงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นางทองย้อย
จำเลยฎีกา
คดีจึงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้สำนวนเดียว ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เนื่องจากจำเลยและนายวันชัย เผือกเจริญ ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิด ข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยมาแล้ว อยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงนายวันชัย เผือกเจริญ ซึ่งมิได้ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๓ ประกอบด้วย มาตรา ๒๒๕
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยและนายวันชัยเผือกเจริญ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๘๓๐/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้นด้วย นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์