แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของจำเลยบางส่วนออกทับที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ครอบครองอยู่ ก็มีผลให้จำเลยยังได้รับคำรับรองของทางราชการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยเป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตาม ป.ที่ดิน มาตรา 4 ทวิ และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายในฐานที่มีชื่อในทะเบียนว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ดังนั้น สิทธิของจำเลยที่ได้รับตามกฎหมายจึงไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง การที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดิน (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวเฉพาะส่วนที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองให้แก่โจทก์มาด้วยนั้น พอแปลได้ว่าเป็นคำขอให้เพิกถอนชื่อของจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เฉพาะส่วนที่ดินที่ทับที่ดินพิพาทของโจทก์ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาเพิกถอนชื่อของจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในส่วนที่ทับที่ดินพิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 62 เล่ม 1 ข หน้า 12 เลขที่ดิน 73 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 67 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องให้จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 62 เฉพาะส่วนที่โจทก์ครอบครองและจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงแทนเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์และบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม พร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 62 เล่ม 1 ข หน้า 12 จากที่ดิน 73 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมของจำเลยและห้ามโจทก์และบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของจำเลยดังกล่าวอีกต่อไป และขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นายสมใจยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 62 เล่ม 1 ข หน้า 12 เลขที่ดิน 73 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นางสิทธิและนางเติมเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน นายเทียมเป็นบุตรนางสิทธิและเป็นบิดาจำเลย นางสอนเป็นบุตรนางเติมและเป็นมารดาโจทก์ จำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 62 เลขที่ดิน 73 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 63 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 งาน 67 ตารางวา และเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 35 บนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวตามแผนที่วิวาท ต่อมาปี 2542 จำเลยไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน โจทก์คัดค้านการรังวัด คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า เดิมนายเทียมและนางสอนเป็นผู้ครอบครองในที่ดิน 1 แปลง โดยนางสอนมีสิทธิหนึ่งในห้าส่วน เมื่อปี 2474 นางสอนได้สมรสกับนายเคว้ง นายเทียมจึงแบ่งที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 60 ตารางวา (ที่ถูก 67 ตารางวา) ให้นางสอนอยู่อาศัย นางสอนได้ปลูกกระท่อมทำเล้าหมู และปลูกผักสวนครัว ครั้นปี 2500 นางสอนได้รื้อกระท่อมและปลูกบ้านเลขที่ 35 ตามสำเนาทะเบียนบ้าน ปี 2533 นางสอนถึงแก่ความตาย โจทก์จึงเป็นเจ้าบ้านและครอบครองที่ดินพิพาท ปี 2537 โจทก์ได้ปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเก่าที่ทรุดโทรมและอยู่อาศัยตลอดมา และโจทก์ยังมีนายสายเบิกความว่าพยานเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 12 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ปี 2520 ถึง 2535 และรู้จักนายเทียมกับนางสอน บุคคลทั้งสองปลูกบ้านอยู่อาศัยคนละหลัง หลังจากนางสอนถึงแก่ความตายโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทและอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าว ต่อมาโจทก์ได้ปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเก่า นายเดชเบิกความว่า พยานเคยเป็นกำนันตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ปี 2523 และรู้จักโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นลูกบ้าน นางสอนได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทมานานแล้ว ซึ่งต่อมาโจทก์ได้รื้อและปลูกบ้านหลังใหม่ นอกจากนี้นายหงิมพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า พยานมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับโจทก์และจำเลย รู้จักนายเทียม นางสอน โจทก์และจำเลยดี บ้านพยานอยู่ห่างจากที่ดินพิพาทประมาณ 300 ถึง 400 เมตร นายเทียมจะยกที่ดินพิพาทให้นางสอนหรือไม่พยานไม่ทราบ แต่เห็นนางสอนปลูกบ้านอยู่บนที่ดินพิพาทมานานแล้วตั้งแต่จำความได้ เมื่อประมาณ 6 ถึง 7 ปี โจทก์ได้ปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเก่า ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่า เดิมนายเสืองและนางคร่อมไม่ทราบนามสกุลครอบครองที่ดิน 1 แปลง นายเสืองและนางคร่อมมีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ นางสิทธิ นางเติม นางเพลิน และนางมี ต่อมานายเสืองและนางคร่อมยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้นางสิทธิเพียงผู้เดียว นางสิทธินำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองแก่บุคคลภายนอก จำเลยกับนายเทียมได้ชำระหนี้แทนและไถ่ถอนจำนองประมาณ 50 ปีมาแล้ว นางสิทธิยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายเทียม ต่อมานายเทียมได้ขอออกหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เมื่อนายเทียมถึงแก่ความตายจำเลยเป็นผู้รับมรดกและครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวมาประมาณ 30 ปีแล้ว เมื่อปี 2521 จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โจทก์และนางสอนไม่ได้คัดค้าน ตั้งแต่จำเลยจำความได้เห็นนางเติมและนางสอนอยู่อาศัยบนที่ดินพิพาทตลอดมา โดยนายเทียมเล่าให้ฟังว่านางเติมมาขออยู่อาศัยบนที่ดินพิพาทปี 2537 โจทก์ปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเก่าโดยได้รับอนุญาตจากจำเลย และจำเลยมีนางทุ และนายพูนสุขเบิกความสนับสนุนว่า โจทก์เพิ่งมาอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์เมื่อจำเลยไปขอออกโฉนดที่ดินนั้น เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวรู้เห็นว่านางเติมและนางสอนเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทและปลูกกระท่อมอยู่อาศัยามานานกว่า 50 ปี โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากนางสอนมารดาโจทก์ตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ส่วนจำเลยเบิกความว่า ตั้งแต่จำความได้จำเลยเห็นนางสอนและนางเติมอยู่อาศัยบนที่ดินพิพาท จำเลยไม่เคยเข้ายึดถือครบครองที่ดินพิพาทมาก่อน แม้ต่อมาจำเลยจะมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าว ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทนั้น ส่วนข้อที่จำเลยนำสืบว่านายเทียมเล่าให้ฟังว่านางเติมและนางสอนมาขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์ปลูกบ้านเลขที่ 35 แทนบ้านหลังเก่าโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยนั้น ก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้รับฟังได้ว่าเป็นเช่นนั้น และยังเป็นการขัดต่อพฤติการณ์แห่งคดีซึ่งเห็นได้ชัดว่าตลอดเวลาที่นางเติมและนางสอนกับโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมากกว่า 50 ปี นางสอนและโจทก์ได้แสดงออกอย่างผู้เป็นเจ้าของเป็นต้นว่า ได้ทำที่เก็บกระดูกของบรรพบุรุษในที่ดินพิพาทปรากฏตามรายงานการเผชิญสืบที่ดินพิพาทและแผนที่วิวาท และโจทก์ได้ถมดินปลูกบ้านเลขที่ 35 ลักษณะถาวรแทนบ้านหลังเก่า ยิ่งไปกว่านั้น จำเลยยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยอนุญาตให้นางสำรวยซึ่งเป็นน้องต่างบิดากับโจทก์เช่าที่ดินทางด้านทิศใต้ของที่ดินพิพาทปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยทำหลักฐานเป็นหนังสือ หากโจทก์เข้าอยู่อาศัยและปลูกบ้านเลขที่ 35 ในที่ดินพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยจริงแล้วจำเลยน่าจะให้โจทก์ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือเช่นเดียวกัน ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่สมเหตุสมผล ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่การที่จำเลยยังคงมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวเฉพาะส่วนที่ทับที่ดินพิพาทดังกล่าว ก็มีผลให้จำเลยยังได้รับคำรับรองของทางราชการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยเป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ทวิ ซึ่งก็มีความหมายว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองและจำเลยได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายในฐานที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ดังนั้น สิทธิของจำเลยที่ได้รับตามกฎหมายจึงไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง การที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดิน (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวเฉพาะส่วนที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองให้แก่โจทก์มาด้วยนั้น พอแปลได้ว่าเป็นคำขอให้เพิกถอนชื่อของจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เฉพาะส่วนที่ดินที่ทับที่ดินพิพาทของโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และขับไล่โจทก์กับบริวารออกจากที่พิพาทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เนื้อที่ 1 งาน 67 ตารางวาในกรอบเส้นสีดำตามแผนที่วิวาท ตามที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 62 เลขที่ดิน 73 ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้เพิกถอนชื่อของจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวเฉพาะส่วนที่ดินพิพาทที่ทับที่ดินของโจทก์โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องแย้ง