คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์อ้างว่า นายสีกับพวกได้แย่งเอาสิทธิครอบครองของโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2504 คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการรับรองในตัวว่านายสีเข้าแย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทมาเกิน 1 ปี โจทก์เพิ่งมาฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากพวกจำเลยซึ่งเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายสีเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2507 อันเป็นเวลาภายหลังที่นายสีเข้าแย่งสิทธิครอบครองมาเกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ที่บ้านที่สวนมือเปล่าซึ่งจะมีอายุความฟ้องร้องกันได้ถึง 9 – 10 ปี ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 นั้น จะต้องเป็นที่บ้านที่สวนมือเปล่ามาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยลักษณะทรัพย์สินซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2475 (อ้างฎีกาที่ 882/2503, 1570/2500)
จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่แรก และปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หากแต่เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยโดยเฉพาะ ไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชนหรือบุคคลภายนอกแต่ประการใด (อ้างฎีกาที่ 914/2503) ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แล้วพิพากษายกฟ้อง จึงยังไม่ชอบ
จำเลยมิได้ยกอายุความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ตามคำให้การจำเลยคงยกอายุความขึ้นต่อสู้เฉพาะฟ้องโจทก์ที่ฟ้องเอาคืนสิทธิครอบครองที่พิพาทเท่านั้น ฉะนั้น ที่ศาลวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในประเด็นข้อนี้เสียด้วย จึงยังไม่ชอบเช่นกัน
แม้ว่าศาลจะได้พิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาว่าจำเลยบุกรุกขอให้ขับไล่ออกจากที่พิพาทแล้วก็ตาม แต่เหตุที่ยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนสิทธิ ไม่เกี่ยวกับข้อหาฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย ซึ่งถ้าหากจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์จริงตามฟ้อง โจทก์ได้รับความเสียหายมาก่อนแล้ว จำเลยก็อาจต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ เมื่อคู่ความยังโต้เถียงและศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างเฉพาะประเด็นเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาในประเด็นที่ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์จริงหรือไม่ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ต่อไป.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นที่สวนที่ไร่ที่ปลูกบ้าน ๑ แปลง โจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของมา ๑๗ ปี เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๔ นายสี ไหมแจ่ม กับพวก ๙ คน สมคบกันกระทำการรื้อรั้วและตัดต้นผลไม้เพื่อเอาสิทธิครอบครองของโจทก์แล้วปลูกห้องแถว ยึดถือที่ว่าง ต่อมาจำเลยที่ ๑, ๒, ๓, ๔ เข้าไปอยู่ในห้องของนายสี จำเลยที่ ๕, ๖ ก่อเพิงทางด้านตะวันตกและตะวันออก แล้วเข้าอยู่อาศัย จำเลยที่ ๑ ภริยานายสีรับมรดกเข้าครอบครองที่พิพาท ขอให้ขับไล่และรื้อสิ่งปลูกสร้างกับใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้ง ๖ ให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และนายสีสามีโดยจับจองเป็นเจ้าของมา ๓๖ – ๓๗ ปี โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้อง คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๔, ๑๓๗๕
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย วินิจฉัยว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า ๑ ปีแล้ว โจทก์จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่ ส่วนค่าเสียหายตามฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์แสดงว่า การที่จำเลยทั้ง ๖ เข้าอยู่ในที่ดินตามฟ้องของโจทก์ ก็โดยอาศัยสิทธิของนายสี ไหมแจ่ม ทั้งสิ้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์อ้างว่านายสีกับพวกได้แย่งเอาสิทธิครอบครองของโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๔ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการรับรองอยู่ในตัวว่า นายสีแย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทมาเกิน ๑ ปี นายสีถึงแก่กรรมตั้งแต่เดือน ๑๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ โจทก์เพิ่งมาฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากพวกจำเลยซึ่งเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายสี เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๗ อันเป็นเวลาภายหลังที่นายสีเข้าแย่งสิทธิครอบครองมาเกิน ๑ ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕
ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นที่สวนปลูกต้นไม้ยืนต้นและปลูกบ้าน โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้ภายใน ๑๐ ปี ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่บ้านที่สวนมือเปล่าซึ่งจะมีอายุความฟ้องร้องกันได้ถึง ๙ – ๑๐ ปี จะต้องเป็นที่บ้านที่สวนมือเปล่ามาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยลักษณะทรัพย์ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๕ (อ้างฎีกาที่ ๘๘๒/๒๕๐๓, ๑๕๗๐/๒๕๐๐) แต่คดีนี้ฟ้องโจทก์กล่าวความชัดว่าโจทก์เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินพิพาทมาได้เพียง ๑๗ ปี อันเป็นเวลาภายหลังที่กฎหมายดังกล่าวได้ประกาศใช้แล้ว คดีโจทก์จึงมีอายุความเพียง ๑ ปี
โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่าฟ้องของโจทก์เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหาย ๕๐๐ บาท ไม่เคลือบคลุม และยังไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาตั้งแต่แรกและปัญหาที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หากแต่เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยโดยเฉพาะ ไม่กระทบกระเทือนถึงประชาชนหรือบุคคลภายนอกแต่ประการใด การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้วพิพากษายกฟ้องในประเด็นข้อนี้เสีย ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย (อ้างฎีกาที่ ๙๑๔/๒๕๐๓)
ส่วนปัญหาเรื่องอายุความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดที่ศาลล่างทั้งสองยกขึ้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วนั้น ก็ปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกอายุความฟ้องร้องในข้อหานี้ขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย ตามคำให้การ จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้เฉพาะฟ้องโจทก์ที่ฟ้องเอาคืนสิทธิครอบครองที่พิพาทเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในประเด็นข้อนี้จึงยังไม่ชอบเช่นกัน
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ถึงว่าศาลจะได้พิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่ออกจากที่พิพาทแล้วก็ตาม แต่เหตุที่ยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่ฟ้องภายใน ๑ ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนสิทธิ ไม่เกี่ยวกับข้อหาฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย ซึ่งถ้าหากจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์จริง โจทก์ได้รับความเสียหายมาก่อนแล้ว จำเลยก็อาจต้องรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ โดยที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงในประเด็นข้อนี้ และศาลยังมิได้วินิจฉัย ชอบที่ศาลจะดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เฉพาะเรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหาย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาในประเด็นข้อที่ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์จริงหรือไม่ และจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใด แล้วพิพากษาใหม่ต่อไป นอกจากที่แก้ ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share