แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์โดยทำสัญญากู้เงินไว้ต่อมาจำเลยขอกู้เพิ่มและออกเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ 2 ฉบับ เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวโจทก์ฟ้องจำเลยในมูลหนี้กู้ยืมเงินและมูลหนี้ตามเช็คด้วย มิใช่ฟ้องในมูลหนี้กู้ยืมเงินเพียงอย่างเดียว แม้จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 622,000 บาท และมีพฤติการณ์เข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว แต่ในชั้นขอรับชำระหนี้คงมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เพียง 2 ราย คือโจทก์และธนาคาร ก. เฉพาะหนี้ของธนาคาร ก. จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกันด้วย จำเลยรับราชการครูระดับ 7 ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ได้รับเงินเดือน เดือนละ8,895 บาท ภรรยาจำเลยรับราชการครูระดับ 2 เงินเดือน เดือนละ5,745 บาท จำเลยถือหุ้นสหกรณ์ครูเป็นเงิน 50,000 บาท สามารถกู้เงินจากสหกรณ์ได้ในวงเงิน 100,000 บาท จำเลยเพิ่งใช้สิทธิกู้เพียง40,000 บาท บิดามารดาจำเลยมีทรัพย์สินเป็นที่บ้าน และที่นาราคาประมาณ 1,500,000 บาท มารดาภรรยาจำเลยมีที่ดิน 5 แปลง ราคาประมาณ 2,000,000 บาท ชั้นขอประนอมหนี้จำเลยขอประนอมหนี้โดยยอมชำระหนี้ถึงร้อยละ 90 และไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดข้อตกลงตามคำขอประนอมหนี้ พฤติการณ์เชื่อได้ว่าจำเลยสามารถขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้คดีมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 14
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงิน 2 ฉบับตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยได้ชำระเงินคืนให้หมดแล้วแต่ไม่ได้ขอสัญญากู้เงินคืนจากโจทก์ สำหรับเช็คพิพาท 2 ฉบับ ตามที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เพราะโจทก์นำเอาเช็คฉบับเดิมที่จำเลยเคยชำระเงินให้ไปแล้วบางส่วนแต่ยังไม่ได้คืนเช็คมาให้จำเลย โจทก์นำไปบวกกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบต่อเดือน จึงเป็นโมฆะจะนำมาฟ้องจำเลยไม่ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานของโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนการสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่อนุญาตและงดสอบสวนพยานหลักฐานของโจทก์ กับจำเลยยื่นคำขอประนอมหนี้ ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติเอกฉันท์ยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลย โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และยื่นคำแถลงคัดค้านการขอประนอมหนี้ของจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์และมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลย โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งสองฉบับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์นำมูลหนี้ตามเช็คมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้หรือไม่ ในข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อต้นปี 2528 จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน300,000 บาท โดยทำสัญญากู้เงินไว้ ต่อมาจำเลยขอกู้เพิ่มอีก250,000 บาท โดยจำเลยออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพังโคน ชำระหนี้ให้โจทก์ 2 ฉบับ ฉบับแรกสั่งจ่ายเงินจำนวน100,000 บาท ฉบับที่สองสั่งจ่ายเงินจำนวน 150,000 บาท เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนด โจทก์นำเช็คทั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในต้นเงิน 550,000 บาท กับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 72,000 บาทจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้สั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยในมูลหนี้กู้ยืมเงินและมูลหนี้ตามเช็คด้วย มิใช่ฟ้องในมูลหนี้กู้ยืมเงินเพียงอย่างเดียว ที่โจทก์กล่าวว่าจำเลยกู้เงินเพิ่มโดยออกเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ 2 ฉบับ เป็นการบรรยายถึงที่มาของมูลหนี้ตามเช็คมิได้กล่าวอ้างว่าเช็คเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน เมื่อเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง โจทก์จึงนำมูลหนี้ตามเช็คมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในมูลหนี้กู้ยืมเงินแต่เพียงอย่างเดียวและเช็คมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน โจทก์จึงนำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายไม่ได้ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อต่อไปว่า คดีมีเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า แม้จะรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 622,000 บาท และมีพฤติการณ์เข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วตามที่โจทก์อ้างก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่า ในชั้นขอรับชำระหนี้คดีนี้คงมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เพียง 2 ราย คือ โจทก์และธนาคารกรุงไทย จำกัด เฉพาะหนี้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด จำเลยค้างชำระจำนวน 421,388.83 บาท จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกันด้วย จำเลยรับราชการครูระดับ 7 ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ได้รับเงินเดือน เดือนละ8,895 บาท ภรรยาของจำเลยรับราชการครูระดับ 2 ได้รับเงินเดือนเดือนละ 5,745 บาท จำเลยถือหุ้นสหกรณ์ครูสกลนครเป็นเงิน50,000 บาท สามารถกู้เงินจากสหกรณ์ได้ในวงเงิน 100,000 บาทจำเลยเพิ่งใช้สิทธิกู้เงินเพียง 40,000 บาท กับจำเลยนำสืบว่าบิดามารดาของจำเลยมีทรัพย์สินเป็นที่ดินปลูกบ้านและที่นาราคาประมาณ 1,500,000 บาท มารดาของภรรยาจำเลยมีทรัพย์สินเป็นที่ดินจำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 110 ไร่ ราคาประมาณ 2,000,000 บาทชั้นขอประนอมหนี้จำเลยขอประนอมหนี้ โดยยอมชำระหนี้ถึงร้อยละ 90และไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดข้อตกลงตามคำขอประนอมหนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่าจำเลยสามารถขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้ คดีมีเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เรื่องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งงดสอบสวนพยานโจทก์ในชั้นขอรับชำระหนี้และเรื่องศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบกับการประนอมหนี้ของจำเลย จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน