แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ค้าโภคภัณฑ์ได้รับใบสั่งจากพนักงานเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรว่า โจทก์ไม่ชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ จึงให้เสียภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ ภาษีบำรุงเทศบาล กับเงินเพิ่มอีก 5 เท่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ซื้อโภคภัณฑ์มา 2 จำนวนเพื่อจำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยยังมิได้เสียภาษีโภคภัณฑ์ ต่อมาปรากฏว่าโภคภัณฑ์นี้ไม่มีอยู่ที่โจทก์ และไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคไป ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะถือได้ว่าโจทก์เอาโภคภัณฑ์นั้นไปใช้อันมิใช่เพื่อกิจการค้าโภคภัณฑ์ซึ่งโจทก์ต้องเสียภาษีตามมาตรา 168 และนอกจากนี้โภคภัณฑ์จำนวนหลังโจทก์รับว่าซื้อแล้วมิได้ลงบัญชีรับจ่ายตามประมวลรัษฎากรมาตรา 185 จึงถือว่าเป็นโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อแล้วตามมาตรา 190, 191 อีกด้วย จึงต้องเสียภาษีการซื้อโภคภัณฑ์และเงินเพิ่ม แม้จะปรากฏต่อมาว่าความจริงโจทก์ได้จำหน่ายโภคภัณฑ์ให้แก่ผู้บริโภคไปและยังมิได้เสียภาษีการซื้อ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามใบสั่งอยู่เช่นเดิม พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องออกใบสั่งใหม่เพื่อเรียกเก็บภาษีสำหรับการจำหน่ายโภคภัณฑ์แก่ผู้บริโภคที่ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นในภายหลัง
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกให้โจทก์เสียเงินเพิ่มห้าเท่า แม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 ให้เรียกเก็บเพียงสองเท่า และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 ให้ยกเลิกการเก็บภาษีประเภทนี้ก็ตาม แต่พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ยังมีบทเฉพาะกาลให้บทบัญญัติที่ถูกแก้ไขหรือยกเลิกนั้นบังคับในการจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือที่พึงชำระก่อนวันพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ใช้บังคับ และพึงเห็นได้ว่าบทบัญญัติเฉพาะกาลดังกล่าวรวมถึงการเรียกเก็บเงินเพิ่มด้วย โจทก์จึงต้องเสียเงินเพิ่มห้าเท่าของภาษีอยู่ตามเดิม.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนใบสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่สั่งให้โจทก์เสียภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ ภาษีบำรุงเทศบาล กับเงินเพิ่มอีก ๕ เท่า อ้างว่าโจทก์ได้ซื้อน้ำมันเบนซินโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ เพราะเป็นการซื้อระหว่างกันเองเพื่อจำหน่ายต่อไป นอกจากนี้จำเลยยังเรียกเก็บเงินเพิ่มจากโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๙๐, ๑๙๑ และเป็นการเรียกเก็บย้อนหลัง
จำเลยต่อสู้ว่า ใบสั่งชอบแล้ว การเก็บภาษีนี้ไม่ใช่เป็นการย้อนหลัง และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า โจทก์เป็นผู้ค้าโภคภัณฑ์ซื้อน้ำมันเบนซินจากบริษัทเชลล์มาสองจำนวนเพื่อจำหน่ายแก่ผู้บริโภคซึ่งยังไม่ต้องเสียภาษีโภคภัณฑ์สำหรับการซื้อนั้นจนกว่าจะได้จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคไป ครั้นต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าน้ำมันรายนี้ไม่มีอยู่ที่โจทก์แล้ว โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้จำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคไป และยังมิได้เสียภาษีโภคภัณฑ์ ดังนี้ ย่อมมีพฤติการณ์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะถือได้ว่าโจทก์เอาน้ำมันไปใช้อันมิใช่เพื่อกิจการค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งโจทก์ต้องเสียภาษีตามมาตรา ๑๖๘ และนอกจากนี้สำหรับน้ำมันเบนซิน ๖,๐๐๐ ลิตร จำนวนแรก โจทก์ก็รับว่าเมื่อซื้อแล้วมิได้ลงบัญชีรับจ่ายโภคภัณฑ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๘๕ อันเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอีกทางหนึ่ง และมาตรา ๑๙๐ ให้ถือว่าเป็นโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อแล้ว จึงมีเหตุผลที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บภาษีสำหรับน้ำมันทั้งสองจำนวนนี้โดยถือว่าได้มีการซื้อแล้ว ทั้งปรากฏต่อมาว่าความจริงโจทก์ได้จำหน่ายน้ำมันนั้นให้แก่ผู้บริโภคไปและรับว่าไม่ได้เสียภาษีการซื้อ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามใบสั่งอยู่เช่นเดิม พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่จำต้องออกใบสั่งใหม่เพื่อเรียกเก็บภาษีสำหรับการจำหน่ายน้ำมันนั้นแก่ผู้บริโภคที่ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นในภายหลัง ฉะนั้น โจทก์จะอ้างว่าเรื่องนี้โจทก์ได้จำหน่ายน้ำมันไป แต่ใบสั่งเรียกให้โจทก์เสียภาษีเพราะโจทก์เป็นผู้ซื้อ จึงเป็นใบสั่งที่ออกไม่ถูกต้อง จะบังคับไม่ได้นั้นหาได้ไม่
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกให้โจทก์เสียเงินเพิ่มตามมาตรา ๑๙๑ เป็นจำนวนห้าเท่าของภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ที่ไม่ชำระนั้น แม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๗๑ ให้เรียกเก็บเพิ่มเพียงสองเท่า และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในลักษณะ ๔ ว่าด้วยภาษีการซื้อโภคภัณฑ์แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม แต่พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ก็ยังมีบทบัญญัติเฉพาะกาลให้ยังคงใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ถูกแก้ไขหรือยกเลิกไปนั้นบังคับในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือที่พึงใช้ก่อนวันพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้ใช้บังคับ ภาษีรายนี้โจทก์ไม่ได้ชำระภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย จึงเป็นภาษีที่ค้างอยู่แล้วก่อนพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบใน พ.ศ. ๒๕๐๑ และพึงเห็นได้ว่าบทบัญญัติเฉพาะกาลรวมถึงการเก็บเงินเพิ่มด้วย ฉะนั้น โจทก์จึงยังคงต้องเสียเงินเพิ่มห้าเท่าของเงินภาษีอยู่ตามเดิม
พิพากษายืน.