คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 854/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ช่วยสมุห์บัญชีอำเภอรักษากุญแจเซฟเก็บเงินผลประโยชน์ของทางราชการซึ่งตั้งรักษาไว้บนสถานีตำรวจภูธรอำเภอนั้น แทนสมุห์บัญชีกับปลัดอำเภอเป็นผู้รักษากุญแจเซฟอีกสองดอกแทนนายอำเภอ การปิดเปิดเซฟโดยปกติต้องใช้กุญแจทั้งสามดอก แต่ในคราวเปิดเซฟครั้งหนึ่ง เมื่อปิดเซฟผู้ช่วยสมุห์บัญชีเพทุบายใช้กุญแจดอกที่ตนรักษาดอกเดียวปิดเซฟ โดยปลัดอำเภอไม่ทราบ ครั้นตกตอนกลางคืน ผู้ช่วยสมุหบัญชีนั้นได้ลอบมาเปิดเซฟด้วยกุญแจดอกที่ตนรักษาไว้แล้วเอาเงินในเซฟนั้นไปหมด ดังนี้ผู้ช่วยสมุห์บัญชีมีผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131
จำเลยเองเป็นผู้ประทับตราคาดเชือกคาดเซฟเป็นที่สังเกตุสำหรับจำเลยเอง เมื่อจำเลยตัดเชือกที่ประทับตรานั้นขาดเสียเอง+เพื่อเอาเงินในเซฟ+ความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตตรา 130

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่พิทักษ์รักษาเงินหลวง เซฟและมีหน้าที่รักษากุญแจเซฟ เซฟนั้นตั้งไว้บนสถานีตำรวจจำเลยที่ ๒ เป็นนายสิบตำรวจประจำการ ได้สมคบกันถอนทำลายตราที่ประทับหมายไว้ที่ตู้เซฟ ไขกุญแจเปิดเซฟออกและจำเลยที่ ๑ ยักยอกเอาเงิน ๓๕๕๘๓ บาท ๖๐ สตางค์ไปจากเซฟนั้น จำเลยที่ช่วยหาช่องโอกาศให้อุปการะแก่จำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๐,๑๓๑,๖๕,๗๐,๗๑
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ เอาเงินไป เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์ จึงลงโทษไม่ได้ จำเลยที่ ๒ ก็เช่นเดียวกัน จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยผิดตามฟ้องจำคุกจำเลยที่ ๑,๖ ปี จำคุกจำเลยที่ ๒,๔ ลดฐานปราณีให้จำเลยที่ ๑ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๓ ปี
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว ได้ความว่าที่อำเภอเวียงป่าเป้ามีเซฟเก็บเงินผลประโยชน์ของทางราชการตั้งรักษาไว้บนสถานีตำรวจกุญแจสำหรับไขเซฟมีสามดอก ปกตินายอำเภอรักษา ๒ ดอก สมุห์บัญชีรักษาหนึ่งดอก การปิดเปิดเซฟโดยปกติต้องใช้กุญแจให้ผู้แทน ทั้งต้องสำรวจต้องเงินในเซฟตรวจสอบกับบัญชีให้เป็นการถูกต้อง เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๙๒ นายรัตน์ปลัดอำเภอเป็นผู้รักษากุญแจสองดอกแทนนายอำเภอ จำเลยที่ ๑ ผู้ช่วยสมุห์บัญชีเป็นผู้รักษากุญแจหนึ่งดอกแทนสมุห์บัญชี วันนั้นตอนบ่ายได้มีการเปิดเซฟโดยนายรัตน์กับจำเลยร่วมกัน เอาเงินเก็บและเงินจ่ายชักออกลงบัญชีรับจ่าย แล้วปิดเซฟแต่ในการปิด นายรัตน์ไม่ได้ปิดเอง ได้มอบกุญแจให้จำเลยที่ ๑ ปิดแทน จึงเป็นโอกาศของจำเลยที่ ๑ ทำทีเหมือนว่าได้ใช้กุญแจของนายรัตน์ปิดเซฟ แต่ที่จริงใช้กุญแจดอกเดียวของจำเลยปิดเซฟไว้เท่านั้น ในคืนนั้นจำเลยที่ ๑ ลอบขึ้นไปบนสถานีตำรวจตัดเชือกคาดเซฟออก แล้วเอากุญแจดอกเดียวของจำเลยที่ ๑ เปิดเซฟออก แล้วเอาเงินในเซฟไปหมด
ศาลฎีกาเห็นว่า เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจมีหน้าที่ปกครองรักษาเงินในเซฟไม่มีปัญหาจำเลยที่ ๑ ก็เช่นเดียวกัน มีหน้าที่ปกครองรักษาเงินในเซฟด้วย เพราะเป็นเจ้าหน้าที่โดยตำแหน่งอยู่แล้ว ที่จะปกครองรักษาเงินในเซฟ ยังถือลูกกุญแจเซฟดอกหนึ่งจำเลยที่ ๑ จะใช้กุญแจเปิดไขเซฟเอาเงินออกเมื่อใดก็ได้ ถ้าไม่ใช่เวลาวิกาล จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ในหน้าที่
ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ ตัดเชือกคาดเซฟออกนั้น ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เองเป็นผู้ประทับตราคาดเชือก เป็นที่สังเกตุสำหรับจำเลยที่ ๑ เอง จะเมื่อจำเลยมีตัดเชือกเพื่อเอาเงินอันเป็น+ตามมาตรา ๑๓๑ อยู่ต้องก็ไม่ต้องวินิจฉัยอีกว่าที่จเำบยที่ ๑ ตัดเชือกขาดเสียเองดังนี้ จำเลยละมีความผิดตามมาตรา ๑๓๐ หรือไม่
จึงพิพากษายืน

Share